“Hokkaido Road Trip” ญี่ปุ่นรอบนี้พาครอบครัวไป Happy ที่ฮอกไกโด (Part 2)
ไม่ปล่อยให้รอนาน… กลับมาแล้วกับภารกิจพาครอบครัวขับรถเที่ยวฮอกไกโด ขอบอกว่าถึงจะเป็นตอนสุดท้าย แต่ยังมีที่กิน ที่เที่ยวเด็ดๆ มาฝากอีกเพียบเช่นเดิมค่ะ งั้นไปเที่ยวกันต่อเลยดีกว่า ลุย!!!
วันที่สาม: ชมทะเลหมอกที่ UNKAI TERRACE , ช้อปกระจายที่ MITSUI OUTLET PARK SAPPORO KITAHIROSHIMA , ดื่มเบียร์สดๆ ที่ Sapporo Beer Museum ปิดท้ายด้วย Nanda Restaurant บุฟเฟ่ต์สารพัดปู
กิจกรรมยามเช้า ชมทะเลหมอก “UNKAI TERRACE”
อีกหนึ่งเหตุผลที่ส้มตัดสินใจพักที่ TOMAMU Resorts เพราะจุดขึ้นเคเบิลคาร์ชมทะเลหมอก “UNKAI TERRACE” อยู่ภายในพื้นที่ของโรงแรม ค่าขึ้นเคเบิลคาร์ ผู้ใหญ่คนละ 2,200 เยน , เด็ก 1,300 เยน แต่ถ้าพักที่นี่มีส่วนลดให้ด้วยค่ะ
จะชมทะเลหมอกทั้งทีต้องยอมตื่นเช้ากันหน่อย พวกเราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง ถึงจะเมาขี้ตา สติยังไม่ค่อยเข้าที่ แต่ก็รีบลุกมาขึ้นเคเบิลคาร์เพื่อรอชมภาพสวยงามของธรรมชาติ (แต่ละเดือนเวลาให้บริการไม่เหมือนกันนะคะ สามารถเช็ครายละเอียดจากเว็บไซต์โรงแรมได้เลยค่ะ)
ใครที่กลัวหนาวแนะนำให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ไปเผื่อด้วย แต่ถ้าขี้เกียจหอบของตัวเองขึ้นไป ด้านบนมีชุดกันหนาวให้ได้ใส่ (เหมือนชุดหมี) แต่ก็มีจำนวนจำกัด ไปช้าอาจอดได้ ส้มก็เป็นหนึ่งในคนที่อดใส่ค่ะ ดีที่เอาเสื้อแจ็คเก็ตมาเอง ไม่งั้นหงิกอยู่บนนั้นแน่นอน
UNKAI TERRACE: http://www.snowtomamu.jp/summer/en/
ปล.1 หากไม่ได้ขับรถมาเอง สามารถไปรอขึ้นรถรางของโรงเเรมเพื่อไปที่จุดขึ้นเคเบิลคาร์ได้นะคะ สอบถามเจ้าหน้าที่ต้อนรับได้เลยค่ะ
มาขึ้นเคเบิลคาร์ที่นี่ค่ะ
ซื้อตั๋วก่อนนะ
ได้ตั๋วมาแล้ว พร้อมเหินฟ้าไปดูหมอก
ยิ่งสูงยิ่งหนาว หมอกหนามาก
ถึงแล้วจาก คนมารอชมทะเลหมอกกันเยอะแยะเลย
นั่นไงบริเวณโรงแรมเรา
แม้จะเป็นฤดูร้อน กลางเดือนกรกฎาคม แต่ฮอกไกโดใจดีให้นักท่องเที่ยวประเทศเขตร้อนอย่างเราได้สัมผัสอากาศเย็น (ค่อนไปทางหนาว) และหมอกที่ลอยอยู่เต็มไปหมด ด้านบนจุดชมทะเลหมอกมีคาเฟ่ 1 ร้าน ไม่ต้องบอกคงรู้ว่าได้รับความนิยมมากแค่ไหนเนอะ ทุกคนต่อคิวรอซื้อซุปร้อนๆ โกโก้อุ่นๆ ไว้คลายหนาวกันเพียบเลยค่ะ
อิ่มอะไรอุ่นๆ เพิ่มพลังซักหน่อย
ภาพเราถ่ายไม่สวย ขออนุญาตนำภาพจากเว็บไซต์ Tomamu มาให้ชมซัก 1 ภาพนะคะ
ชมหมอก ถ่ายรูปอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจลงมาหาของอร่อยเติมพลัง ลานด้านล่างมีร้านค้ามาตั้งรอพวกเราอยู่ อาหาร ขนม เยอะแยะ ตั้งแต่มันเผา ผลไม้ นมสด ไส้กรอก หมูย่าง แม้แต่ไข่ต้ม พวกเราเลยซื้อสารพัดอย่างนำกลับมาทานเป็นมื้อเช้ากันที่ห้อง อิ่มเอมยามเช้าในราคาเบากว่าซื้อบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมอีกค่ะ (ต้มมาม่าทานด้วย ฟินเลย)
อารมณ์เหมือนกำลังอยู่ในฟาร์มเลย
ซื้อเสบียงเช้านี้กันดีกว่า สด สะอาด เพราะผู้ผลิตมาขายเอง
ได้เวลาช้อปปิ้งให้หนำใจที่ “MITSUI OUTLET PARK SAPPORO KITAHIROSHIMA”
และแล้วก็ได้เวลาของการละลายเงินเยน เราขับรถมุ่งตรงสู่ “MITSUI OUTLET PARK SAPPORO KITAHIROSHIMA” เอาท์เล็ทขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองซัปโปโร (Sapporo) มีร้านค้าแบรนด์ชั้นนำให้เลือกเยอะมากค่ะ ครอบครัวเราเดินกัน 2 ชั่วโมงยังไม่ทั่วเลย ถ้าอยู่ยาวกว่านี้นะ กระเป๋าแบนแฟนท้ิงชัวร์
ถ้าไปช้อปปิ้งที่นี่ ก่อนมุ่งตรงไปร้านค้า ขอให้เพื่อนๆ แวะที่เคาน์เตอร์ Information Center ชั้น 1 เพื่อขอคูปองส่วนลดจากร้านค้าต่างๆ ก่อนนะคะ (มีภาษาอังกฤษ) แล้วหากเดินช้อปจนหิวโซน Food court ที่นี่ใหญ่โต ร้านอาหารเยอะเลยล่ะ ส้มรับรองว่าขาช้อปต้องชอบ Mitsui Outlet Kitahiroshima แน่นอนค่ะ
MITSUI OUTLET PARK SAPPORO KITAHIROSHIMA: Tel: 0113-77-3200 / GPS: 42.970994,141.4712837 http://www.31op.com/sapporo/english/
ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ MITSUI OUTLET
นั่งรถบัสมาก็ได้เช่นกันค่ะ
ก่อนช้อปต้องแวะเอาคูปองส่วนลดที่นี่ก่อนนะ
หน้าตาคูปองส่วนลด
ร้านค้าเรียงราย รอให้เราไปละลายทรัพย์อยู่
Food court กว้างมาก อาหารก็หน้าตาดีด้วย
ถ้าเบื่อช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมแล้ว ที่ชั้น 1 ตรงประตูทางเข้า ก็มีผลิตภัณฑ์เกษตรราคาไม่แพงขายด้วยนะ
ไหนใครว่าอร่อย ขอลองหน่อยซิ
แวะเที่ยวและดื่มเบียร์สดที่พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum)
ตอนแรกว่าจะเข้าเช็คอินที่โรงแรมก่อน แต่เห็นเวลาเหลือเฟือ งั้นแวะเที่ยว “พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร” (Sapporo Beer Museum) ก่อนดีกว่า
ที่นี่มีทั้งสาระความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเบียร์ Sapporo รวมถึงขั้นตอนของการผลิตเบียร์อีกตังหาก ปิดท้ายด้วยการลิ้มรสเบียร์ถึง 3 ชนิดในราคาเพียง 600 เยน จิบกันคนละนิดคนละหน่อย หมดแก้ว
ที่นี่การเข้าชมมีแบบเสียเงิน (Premium Tour) และฟรีนะคะ แบบเสียเงินมีเจ้าหน้าที่พาชมแบ่งเป็นรอบๆ แต่ครอบครัวเราเลือกแบบฟรี เดินชมเองไปเรื่อยๆ เพราะเห็นว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่แค่แป๊บเดียว ยังไงถ้ามีเวลา และอยากมาดื่มเบียร์อร่อยๆ ก็เชิญได้ที่ Sapporo Beer Museum จ้า
ด้านหน้าปลูกข้าวบาเร่ย์ วัตถุดิบหลักในการทำเบียร์
บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์
สำหรับผู้ที่สนใจ Premium Tour
คุณสามีคะ เบียร์ยังไม่ตกถึงท้อง ทำไมเมาซะแล้วล่ะคะ เล่นซะเป๊ะเชียว
ดริ๊งซักนิด จิตแจ่มใส
ราคาค่าเสียหาย ซื้อตั๋วได้ที่ตู้อัตโนมัติ
“Nanda Restaurant” คอบุฟเฟ่ต์ห้ามพลาด
เพื่อนๆ หลายคนน่าจะคุ้นชื่อร้าน “Nanda Restaurant” อยู่บ้าง เพราะเค้าถือเป็นขวัญใจแฟนบุฟเฟ่ต์ขาปูชาวไทยเลยก็ว่าได้ ทั้งแบบที่มากับทัวร์และ Backpack ร้านนี้มักอยู่ในลิสที่ต้องมากินให้ได้ นอกจากปูสารพัดชนิดที่เติมได้ไม่อั้น ยังมีไลน์อาหารอย่างอื่นอีกนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหอยนางรม , หอยเชลล์ , หมู , เนื้อ รวมถึงซูชิ , ซาชิมิ ฯลฯ หยิบมาหม่ำได้ตามใจในเวลา 100 นาที (1.40 ชม.) สนนราคาคนละ 4,780 เยนเท่านั้นค่ะ (ตอนเข้าร้านเราเดิน แต่ขากลับเรากลิ้งออกมา พุงกางหนักมาก อิอิ)
ปล.2 ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://g-nanda.com
ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ Nanda Restaurant
ด้วยความที่ร้านได้รับความนิยมอย่างมาก ส้มกลัวว่าถ้า Walk in จะไม่มีที่นั่ง เลยจองผ่านเว็บไซต์ Nanda Restaurant หน้าเว็บเป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ แต่ใช้วิธีแปลภาษาใน Google นี่แหละช่วยไว้ จากนั้นก็ปริ๊นข้อความคอนเฟิร์มไปให้ที่ร้านตอนไปถึง ขั้นตอนจ่ายเงินสามารถชำระได้ที่ร้านเลยนะคะ (ชำระด้วยเงินสด ก่อนเข้าไปรับประทาน)
ส้มเลือกไปทานตอน 17.00 น. เพราะได้ข่าวมาว่าประมาณ 18.00 – 19.00 น. เป็นต้นไป คนเยอะมว๊ากกกก เนื่องจากมีคณะทัวร์ลง แล้วก็จริงด้วยค่ะ ตอนส้มไปถึงมีลูกค้าแค่ 3 โต๊ะ ผ่านไปชั่วโมงครึ่งนั่งกันเต็มร้านเลยค่ะ
จองได้จากเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นนี่แหละ แต่ใช้วิธีแปลจาก google translate
พอไปถึงที่ร้านก็โชว์ booking ให้พนักงานดู แล้วก็ไปจ่ายเงินที่ตู้อัตโนมัติ (รับแต่เงินสดนะคะ) หลังจากนั้นก็มีน้องพนักงานคนไทยมาบริการพาเดินชมไลน์อาหารที่มีเยอะมากจริงๆ
ร้านต้องลงไปชั้น B2
ถึงแล้วจ้า
ตู้จ่ายเงินอัตโนมัติ
มีน้องปูมารอต้อนรับ
ร้านกว้างขวางมาก โต๊ะเพียบเลย แต่ถึงเยอะยังไงก็เต็มทุกวันนะจ๊ะ
คงเป็นเพราะคนไทยมากินกันเยอะ เห็นน้ำจิ้มซีฟู๊ดแบบไทยๆ วางอยู่ด้วย แต่ส้มไม่ได้ลองนะ เพราะมีซีฟู๊ดรสเด็ดของคุณแม่ที่ทำและพกไปเองเต็มอัตรา ปิ้งไป จิ้มน้ำจิ้มรสแซ่บไป 100 นาทีผ่านไปไวมาก (อยากได้เวลาเพิ่ม)
นี่ไงร้านเค้าเตรียมให้ รู้ใจจริงๆ
ส่วนน้ำจิ้มแจ่ว และน้ำจิ้มสุกี้ฝากให้คนอื่นๆ ได้ชิมด้วย
ไลน์อาหารที่ร้าน Nanda นอกจากของคาวที่มีปูเป็นตัวชูโรงแล้ว ยังมีขบวนพาเหรดอาหารอีกสารพัดอย่างรอคอบุฟเฟ่ต์อยู่ คือถ้ากินให้ครบน่าจะใช้เวลา 1 วันเต็มๆ
ของคาวว่าเยอะแล้ว ยังมีของหวานไว้ปิดท้ายอีกด้วย ที่ร้านมีขนม-ผลไม้ให้ทานล้างปาก ส้มชอบไอติม เพราะนอกจากรสชาติอร่อยแล้วเรายังเล่นมันได้ด้วย (เอ๊ะ!! ยังไง) ก็เค้ามีเครื่องให้เรากดไอติมให้มันไหลมาในโคนได้เอง ฟังดูเหมือนง่ายเนอะ แต่เป็นอะไรที่ยากมากที่จะทำให้ออกมาสวยงาม บอกเลยเละเทะทุกราย 555 เพื่อนๆ ลองมาเล่น มากินดูนะคะ แนะนำเลยร้านนี้ ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และทุกคนปลื้มปริ่มกับดินเนอร์มื้อนี้มาก (คนจัดทริปปลื้มใจ)
Nanda Restaurant: ตึก Cyber City ชั้น B2 เมืองซัปโปโร (Tel: 011-532-7887 / GPS: 43.054642,141.355973) http://g-nanda.com
มาดูไลน์อาหารกัน เร่ิมจากปู
ยัง ยังไม่พอ มีต่ออีกเยอะ
มาดูของหวานกันบ้าง
ตู้ไอติม กดเองโลด
เครื่องดื่ม
น้องพนักงานคนไทย บริการดีสุดๆ ขอบคุณมากๆ นะคะ (หน้าตาน้องเค้าเหมือนคนญี่ปุ่นเลยอ่ะ)
ก่อนกลับที่พักแวะเดินเล่นในย่านช้อปปิ้ง
คณะจอมแวะอย่างเราต้องไม่พลาดชมร้านนั้น ออกร้านนี้ ก่อนเข้าที่พักเลยได้ช้อปปิ้ง “ร้าน Can do” ร้าน 100 เยนที่มีสินค้ามากมายในราคาเบาๆ ตั้งอยู่ใน “ห้าง Susukino Lafiler” ชั้น 4 (ห้างอยู่ตรงข้ามตึกที่มีป้ายเหล้านิกกะ ย่านซูซิกิโนะ) แล้วต่อด้วย “ย่าน Susukino” ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่ที่ชินจูกุเลย เดินแป๊บเดียวนะ แต่ไม่รู้ทำไมเงินหายไปไวเหลือเกิน (T_T”)
เดินเล่นซักหน่อย
ร้านนี้ไม่แวะไม่ได้แล้ว
“Nest Hotel Sapporo Odori” โรงแรมใจกลางเมืองใกล้ย่านช้อปปิ้ง
คืนนี้เราพักที่ “Nest Hotel Sapporo Odori” ทำเลเยี่ยมเพราะอยู่ใกล้ย่านช้อปปิ้ง ทั้งซูซูกิโนะ(Susukino) และถนนช้อปปิ้งทานูกิโคจิ (Tanuki Koji) เดินแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว ดีต่อใจ ดีต่อขามากค่ะ
โรงแรมแห่งนี้หากเป็นช่วงปกติราคาต่อคืนอยู่ที่ประมาณ 4,000 – 5,000 บาทเห็นจะได้ แต่พอเป็นฤดูท่องเที่ยวบวกกับเราจองช้าราคาเลยโดดไปค่อนข้างสูง แต่ทำไงได้ความผิดเราเองนิเนอะ (ปาดเหงื่อแป๊บ เอ๊ะ ได้ข่าวว่าไม่ได้ออกเอง 555) สำหรับห้องพัก ห้องน้ำ ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ไม่รู้สึกอึดอัดนะคะ สิ่งอำนวยความสะดวกได้มาตรฐานโรงแรมญี่ปุ่น เพื่อนๆ ที่เช่ารถขับแบบส้มสามารถนำมาจอดที่ลานจอดรถฝั่งตรงข้ามโรงแรมได้ (คิดราคาต่อคืน 2,400 เยน / ถ้าจำไม่ผิดลูกค้าของโรงแรม ทางโรงแรมจะช่วยออกค่าที่จ่ายให้ด้วยนะ พอดีคุณสามีเป็นคนจัดการระหว่างส้มเช็คอิน เลยไม่ค่อยชัวร์ข้อมูลเท่าไหร่ค่ะ)
เว็บไซต์โรงแรม : http://www.nesthotel.co.jp/sapporoodori/en
ด้านหน้าโรงแรม
ภายในห้องพัก เล็กๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น
ลานจอดรถฝั่งตรงข้าม
ถนนช้อปปิ้ง Tanuki Koji
ไปโอซาก้าต้องเดินที่ Dotonbori มาซัปโปโรก็ต้องมาที่ “Tanuki Koji” (ทานุกิโคจิ) ถนนช้อปปิ้งรวมร้านค้ากว่า 200 ร้าน ที่นี่แบ่งเป็น 8 บล็อกนะคะ จะมีถนนขั้นแต่ละบล็อก เพื่อนๆ สามารถเลือกช้อปเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ขนม ทานอาหาร แม้แต่ซื้อของฝากที่ร้านดัง “ดองกี้โฮเต้” (Don Quijote) ก็อยู่บนถนนเส้นนี้เช่นกัน (อยู่บริเวณบล็อก 3)
ร้านค้าจะเปิดให้บริการเยอะๆ ช่วงประมาณ 10 – 11 โมง และคึกคักยาวไปยัน 4 – 5 ทุ่มเลย หากเพื่อนๆ พักที่ Nest Hotel Sapporo Odori เหมือนกัน สามารถเดินมาที่ Tanuki Koji แค่ประมาณ 300 เมตรเองค่ะ
Tanuki Koji: GPS: 43.057332,141.353096 http://www.tanukikoji.or.jp
ถนนช้อปปิ้งทานูกิโคจิ
วันที่สี่ : พากินอาหารทะเลสดๆ ที่ตลาด Sapporo Jogai Market , สัมผัสบรรยากาศเมืองแสนสงบที่ Jozankei , แช่ออนเซ็น หลับสบายบนเสื่อฟูตงที่ Jozankei Manseikaku Hotel Milione
เวลาแห่งความสุขผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน แป๊บเดียวก็เข้าสู่การเที่ยววันสุดท้ายของเราซะแล้ว (วันพรุ่งนี้เดินทางกลับแต่เช้า อดเที่ยวเลยค่ะ) วันนี้มีภารกิจตามหาหอยเชลล์ตัวใหญ่ๆ อ้วนๆ ให้คุณพ่อ เช้ามาพวกเรารีบขับรถตรงมาที่ “ตลาดเช้าโจไก” (Sapporo Jogai Market) เป็นตลาดขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในเมืองซัปโปโร มีอาหารทะเลสดๆ และผลไม้นานาชนิดให้เลือกซื้อ เลือกชิม ละลานตาไปหมดค่ะ แนะนำเดินสำรวจราคาและชิมก่อนได้ (เค้ามีให้ชิมกันแทบทุกร้าน) ชอบร้านไหนค่อยตัดสินใจซื้อเนอะ
ระหว่างทางขับรถไปตลาด ก็ถ่ายรูปที่เที่ยวไปเรื่อย
ถึงตลาดแล้วจ้า
วันที่ไปมีป้ายแผนที่มาติดใหม่พอดี มีภาษาไทยด้วย สุดยอด
เดินชมร้านนั้น ออกร้านนี้
ตอนแรกส้มวางแผนไปกินข้าวเช้ารวมเที่ยงที่ Kaisen-Ichiba Kitano Gourmet ร้านดังจากหลายรีวิว เพราะเห็นในรายการท่องเที่ยวมีแต่คนพาไปที่นี่ ยอมรับว่าร้านอลังการจริง วัตถุดิบสดๆ ว่ายไปว่ายมากันอยู่ตรงหน้า แต่พอรู้ราคาแล้วขอบายดีกว่า หอยเชลล์ตัวละ 600 เยน ถ้าให้ย่างด้วยเพิ่มค่าย่างอีกตัวละ 600 เยน รวมเป็นตัวละ 1,200 เยน!!! โอ้โห ทำใจจ่ายไม่ไหว อีกอย่างหอยเชลล์ยังใหญ่ไม่สะใจคุณพ่อ พวกเราเลยเดินออกมาร้านอื่นๆ ต่อ และแล้วก็ได้เจอร้านในดวงใจ
Kaisen-Ichiba Kitano Gourmet ร้านยอดฮิตของนักท่องเที่ยว
ก่อนเจอร้านอาหารที่เราจะทานกันเที่ยงนี้ เราไปสะดุดตากับบ่อที่ใส่หอยเชลล์สดๆ อยู่หน้าปากซอย ส้มเลยรีบกวักมือเรียกคุณพ่อ บอกแกว่านี่แหละหอยเชลล์เป็นๆ ตัวเบ้อเริ่ม ใหญ่กว่าฝ่ามืออีก คุณพ่อเห็นแล้วถึงกับร้องว่า “นี่แหละ!! แบบนี้แหละที่ป่ะป๊าเคยกินตอนมากับทัวร์เมื่อสิบปีก่อน” ปลื้มใจ น้ำตาไหล ทำภารกิจเพื่อคุณพ่อสำเร็จ แต่เอ… จะให้ใครทำให้กินล่ะ
เห็นซอยนี้เลี้ยวเข้าไปเลย อาหารอร่อยรออยู่
บ่อสีฟ้าๆ ขวามือนั่นแหละค่ะ มีหอยเชลล์ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้น ส่วนร้านอาหารอยู่ฝั่งขวามือเช่นกัน แถวที่มีผู้หญิงผู้ชายยืนกันอยู่น่ะค่ะ
นี่แหละที่เราต้องการ
หลังจากเราเดินกันอย่างไร้จุดหมาย สุดท้ายก็มาเจอร้านอาหารเล็กๆ ที่อยู่ขวามือสุดซอยนั้น เห็นเมนูหน้าร้านมีรูปหอยเชลล์ย่าง และข้าวหน้าปลาดิบราคาไม่แพง กะว่าจะถามคนในร้านว่ารับย่างหอยด้วยมั้ย ที่ไหนได้ เจ้าของร้าน (ที่รับหน้าที่เชฟด้วย) พูดภาษาไทยพอได้แถมร้านแกกับร้านขายหอยข้างหน้าเค้าเครือเดียวกัน สบายล่ะ จัดสิครับรออะไร
หลังกินเสร็จเรียบร้อยก็เลยขอนามบัตรร้านมา เพราะอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ไปลองกินกัน เจ้าของเลยเขียนชื่อเป็นภาษอังกฤษให้ว่าชื่อ “ร้าน Nikkai” เจ้าของชื่อคุณ Satoshi ยังไงถ้าเพื่อนๆ ไปที่ตลาดโจไก อยากแนะนำให้ไปลองทานร้านนี้ดูค่ะ อาหารสดและอร่อยจริงๆ
เจอร้านอร่อย ในซอยเล็กๆ
แค่เห็นรูปในป้ายเมนู ก็หิวแล้วอ่ะ
ภายในร้านมีแต่คนญี่ปุ่น ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนร้านดังๆ แถวนั้น แต่ของอร่อยบางทีนักท่องเที่ยวก็ไม่รู้จัก เราจัดแจงเลือกหอยเชลล์ตัวใหญ่ๆ มาให้เชฟย่างเนยใส่โชยุให้ (ไม่มีค่าย่าง คิดแต่ค่าวัตถุดิบ นี่แหละที่สังคมต้องการ) แล้วก็มีข้าวหน้าปลาดิบ และหน้าปูมาเพิ่ม อร่อยและสดทุกจาน ยิ่งหอยเชลล์นะ ไม่ใช่แค่ใหญ่ มันสด เนื้อเด้ง ย่างมากำลังดี ไม่เหนียว กินเพลินเลยค่ะ ติดใจหนักจนขอเบิ้ลหอยและข้าวหน้าปูมาแบ่งกันกิน เป็นมื้อที่อร่อยสมใจอยากมาก
ร้านเรียบๆ แต่งง่ายๆ แต่รสชาติอาหารไม่ธรรมดา
น้ำชาและน้ำเย็น เติมได้เลย
มาชมหน้าตาอาหารกันดีกว่า เริ่มจากหอยเชลล์ที่เดินหาไซส์ที่ถูกใจอยู่นาน (ในรูปเหมือนตัวเลย แต่จริงๆ ใหญ่มากนะจ๊ะ)
ข้าวหน้าปลาดิบรวม
เห็นแล้วอยากกลับไปกินอีกรอบ
ขอถ่ายรูปกับคุณ Satoshi คนนี้แหละค่ะที่เป็นทั้งเจ้าของ และเชฟ พูดภาษาไทยได้ด้วย
ตามรอยกันได้นะคะ
เดินเล่นท่ามกลางธรรมชาติที่เมืองออนเซ็น “Jozankei”
ถ้ามาเที่ยวฮอกไกโดแล้วอยากแช่ออนเซ็นให้หายเหนื่อย ส้มขอแนะนำ “เมืองออนเซ็นโจซังเค” (Jozankei) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองซัปโปโรด้วยการขับรถเพียง 1 ชั่วโมง และเดินทางไปสนามบินก็ไม่ยากด้วย ก่อนจะเดินทางกลับไทยเลยขอมาแช่ออนเซ็นส่งท้ายกันซักหน่อย
ด้วยความที่โรงแรมในเมืองซัปโปโรเต็มหมดทุกที่ (เท่าที่หาข้อมูลมา) เลยตัดสินใจพักเมืองนี้แทน แล้วก็คิดไม่ผิดที่มา เพราะนอกจากได้แช่ออนเซ็นให้สบายตัวแล้ว ยังได้เดินเล่น ชมเมือง ไหว้พระ ถ่ายรูปคู่รูปปั้นกัปปะที่มีกระจายอยู่ทั่วไปหมด ถ้าเดินเมื่อยในเมืองก็มีบ่อออนเซ็นให้แช่เท้าฟรีด้วยนะ สุดยอดไปเลยค่ะ
“Futami Suspension Bridge” สะพานแขวนฟูตามิ ถือเป็นไฮไลน์ที่ต้องมา ยิ่งช่วงพลบค่ำก็ยิ่งสวย เพราะเค้าเปิดไฟบริเวณนั้น ทำให้ดูโรแมนติกขึ้นอีกเป็นกองเลยค่ะ
เมืองออนเซ็น Jozankei: http://jozankei.jp/en
เว็บไซต์โรงแรม : http://www.manseikakuhotels.com/jozankei
แวะขอข้อมูลที่ Information Center กันก่อน
เดินเล่นไปเรื่อยๆ
มีบ่อแช่เท้าฟรีด้วย
เห็นตึกสีน้ำตาลซ้ายมือนั่นมั้ย โรงแรมที่เราพักคืนนี้ค่ะ ตั้งเด่นเป็นสง่ามาก
เมืองแห่งกัปปะ
แวะไหว้พระ
ด้านหลังศาลเจ้ามีถ้ำด้วย เข้าชมได้ฟรี
ร้านค้า
สะพานแดงๆ นั่นล่ะคือสะพานแขวนสะพานแขวนฟูตามิ
ยามเย็น
ตกเย็นก็ออกมาถ่ายรูปบริเวณสะพานกันต่อ
สะพาน
Jozankei Manseikaku Hotel Milione ที่พักคืนสุดท้ายทริปฮอกไกโด
คืนนี้เราพักที่ “Jozankei Manseikaku Hotel Milione” นอกจากผู้เข้าพักสามารถแช่ออนเซ็นได้แล้ว หากเพื่อนๆ อยากมาแช่ออนเซ็นอย่างเดียว ที่บริเวณ Sapporo station หรือสนามบิน New Chitose ก็มีแพ็คเกจ Day trip ขายด้วยนะคะ เพื่อนๆ เลือกโรงแรมที่ให้บริการออนเซ็นได้เลย สามารถนั่งรถเมล์ไป-กลับ ได้ไม่ยากค่ะ
ห้องพักคืนนี้สไตล์ญี่ปุ่นค่ะ มีเสื่อตาตามิ และนอนบนฟูกฟูตงอุ่นๆ ส้มชอบแบบนี้มากๆ เลยค่ะ มันให้บรรยากาศ ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น
สำหรับบ่อออนเซ็นก็ใหญ่ใช้ได้เลย ด้านหน้ามีร้านอาหารไว้บริการคนที่หิวหลังแช่น้ำมาด้วยนะ ส้มก็ไปกินราเมนมา ชามใหญ่มาก แบ่งกันสองคนสบายๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา
Jozankei Manseikaku Hotel Milione
ล็อบบี้ใหญ่อลังการที่สุด เท่าที่เคยเข้าพักในญี่ปุ่น
ร้านค้า และคาเฟ่ภายในโรงแรม
มีที่ให้นั่งแช่เท้าด้วย เก๋ดี
ชุดยูกะตะสามารถมาเลือกไซส์ได้เองเลยค่ะ อยู่ชั้น 1 ตรงข้ามล็อบบี้
ภายในห้องพัก
พนักงานมาปูฟูตงให้ตอนเย็น
ห้องน้ำ
บรรยากาศบ่อออนเซ็น ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์โรงแรม
ตอนส้มจองห้องพักในเว็บไซต์ agoda.com ระบุรวมอาหารเช้า แต่ไม่ได้บอกว่ารวมอาหารเย็นด้วย พอตอนเช็คอินเจ้าหน้าที่แจ้งว่าสามารถทานบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นได้ ปลื้มเลย เราจะได้ไม่เสียเวลาเดินหาข้าวเย็นกินที่ข้างนอก แต่รอบๆ เมืองก็มีร้านอาหารเล็กๆ ไว้คอยบริการนะคะ
ไลน์อาหารเย็นมีให้เลือกพอสมควร แต่ลูกค้าเยอะมาก ต้องต่อคิวรอตักอาหารกันนานหน่อย ส่วนอาหารเช้าจากที่ดูในเว็บไซต์มีค่อนข้างเยอะ แต่คณะเราไมได้ทาน เพราะต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6 โมงเช้า (อยากจองแบบไม่รวมอาหารเช้า แต่มันไม่มี) เพื่อไปให้ทันคืนรถและรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน เจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็แสนใจดี เตรียมข้าวปั้นพร้อมน้ำชาให้พวกเราครบทุกคน แล้วเอามาให้ตอนเช็คเอาท์ด้วย บริการดีสุดๆ ไปเลยค่ะ (แต่ต้องบอกเค้าไว้ตั้งแต่ตอนเช็คอินด้วยนะว่าต้องการให้เค้าเตรียมให้ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ)
มาดูห้องอาหารของโรงแรมนี้กัน อันนี้เป็นภาพมื้อเย็นค่ะ
มีไลน์อาหารหลากหลาย ทั้งราเมน ซูชิ หรือแม้แต่มุมอาหารของเด็กๆ
อาหารจัดเต็มอีกหนึ่งมื้อ (เครื่องดื่มพวกน้ำอัดลม น้ำผลไม้ แอลกอฮอล์ ต้องจ่ายเพิ่มนะคะ)
มีให้เลือกเยอะ เลยตักมาเยอะตามเคย (อยากให้ไทยมีถาดหลุมไว้ตักอาหารบุฟเฟ่ต์แบบนี้บ้างจัง)
วันที่ห้า: คืนรถเช่า-เดินทางกลับประเทศไทย Bye bye Hokkaido
ได้เวลาคืนพาหนะคู่ใจทริปฮอกไกโด
อย่างที่ส้มบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเราใช้วิธีขับรถไปส่งทุกคนพร้อมสัมภาระทั้งหมดที่สนามบินก่อน จากนั้นสามีและส้มก็ขับรถเช่ามาคืนที่สำนักงาน Nippon rent a car กันเอง
เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเดินตรวจสภาพรถไม่นาน เมื่อไม่มีอะไรเสียหายเค้าจะนำรถไปเติมน้ำมันให้เติมถังแล้วให้เราชำระเงินที่เคาน์เตอร์ได้เลย ส้มไปคืนรถตอน 7.30 น. ยังไม่มีใครมาคืนรถเลยใช้เวลาแป๊บเดียวก็เสร็จ จากนั้นก็นั่งรถบัสของบริษัทกลับมาที่สนามบินค่ะ ง่ายมากๆ
จากประสบการณ์เช่ารถขับเที่ยวกันเองที่ฮอกไกโด ตลอด 5 วันที่ผ่านมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ
เป็นการท่องเที่ยวที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเราได้นั่งรถไปพร้อมๆ กัน พูดคุยกันระหว่างทาง จอดแวะถ่ายรูป ซื้อของได้ตามใจ มันคล่องตัวมากๆ ค่ะ ยิ่งมีสมาชิกเยอะ แถมเป็นผู้สูงอายุด้วยแล้ว ทริปเราดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีเหนื่อยเลย ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม
ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงกว่าการใช้บริการขนส่งสาธารณะมากนัก รถค่อนข้างประหยัดน้ำมัน ไป 5 วันเติมไปรอบเดียวเหลือเฟือค่ะ แถมเค้าส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ เลยมีแพ็คเกจเหมาค่าทางด่วนด้วย ทำให้ประหยัดและสะดวกมากขึ้น แต่ๆๆ ส้มไม่แนะนำให้ขับฤดูหนาวนะคะ เกรงว่าจะอันตรายเกินไป
เจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยทั้งในและนอกรถก่อนส่งมอบคืน
นั่งรถบัสกลับไปที่สนามบิน
กลับเมืองไทยกันดีกว่า ส้มตำปูปลาร้ารออยู่
ชาร์จแบตเตอรี่ร่างกายจากการท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลากลับไปทำงานหาเงินเที่ยวใหม่อีกรอบ (ใช่หรา) เพื่อนๆ ที่ต้องการซื้อของฝากในสนามบิน New Chitose ควรซื้อที่ฝั่งในประเทศ (Domestic) ก่อนเข้าส่วน ตม.นะคะ เพราะร้านรวงต่างๆ เปิดให้บริการเยอะมากๆ พวกส้มไม่รู้ คิดว่าที่นี่เหมือนสนามบินอื่นๆ ที่อาคารผู้โดยสารขาออกต่างประเทศจะมีร้านค้ามากกว่า ที่ไหนได้มีอยู่ไม่กี่ร้าน แถมร้านขนมดังๆ ก็ไม่ได้มาเปิดโซนนี้เลย เสียใจหนักมากๆ (T_T)
ต้องการซื้อของฝากให้มาฝั่ง Domestic นะจ๊ะ (มีทางเชื่อมอยู่ เดินไม่นานจ๊ะ)
ในสนามบิน New Chitose นอกจากใหญ่แล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ต้องเบื่อเวลารอขึ้นเครื่องเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Royce Mini-chocolate factory (ชั้น 3 อาคาร International) , Doraemon Wakuwaku Sky Park (ชั้น 3 โซน Smile Road) , โรงภาพยนตร์ขนาดย่อม โซนช้อปปิ้ง หรือแม้แต่บ่อออนเซ็น เรียกว่าอยู่ยันเย็นยังได้ เสียดายที่ต้องกลับไฟลท์ 10 โมงเช้าเลยไม่ได้ใช้บริการอะไรเลย นอกจากชมโดเรม่อนตอนมาถึงฮอกไกโดวันแรก ยังไงส้มฝากเพื่อนๆ เที่ยวเผื่อด้วยแล้วกันนะคะ
ทางเชื่อมระหว่างฝั่ง Domestic และ International มีมุมให้ถ่ายรูปอีกเยอะเลย
แวะมาบอกลาโดเรม่อนที่รัก
ที่พักผู้โดยสารกว้างขวางดีจริงๆ
ก่อนขึ้นเครื่องอย่าลืมเช็คว่าในกระเป๋าสัมภาระ ห้ามใส่ของต่างๆ เหล่านี้นะ
จริงๆ ที่ฮอกไกโดยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่ส้มอยากไป แต่ด้วยเวลาอันจำกัด เลยจำใจตัดท้ิง แต่ข้อมูลที่หามาต้องไม่เสียเปล่า ส้มขอเอาข้อมูลสถานที่ต่างๆ มาแบ่งปันเพื่อนๆ แล้วกันนะคะ
สถานที่ท่องเที่ยว
- สวนดอกไม้คามิฟูราโน่ Flowerland Kamifurano ฟรีค่าเข้าชม , มีร้านอาหาร , ของฝาก , รถแทร็กเตอร์สำหรับนั่งชมสวน http://flower-land.co.jp/en/
- น้ำตกชิโรฮิเงะ (Shirohige) ขับรถเลยสระมรกต 3 กม. จอดรถที่ Shirogane Onsen GPS: 43.474567,142.63931
- เส้นทาง Patchwork Hills
- Hokusei no Oka Observatory Park Mapcode: 389 070 315
- Zerubu no Oka Flower Garden Mapcode: 389 071 595 / Tel: 0166-92-3160
- Sapporo Clock Tower (หอนาฬิกา) GPS: 43.062617,141.353567
- สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) GPS: 43.059858,141.348.31
- ทำเนียบรัฐบาลเก่าฮอกไกโด (Farmer Hokkaido Governing Office Building) GPS: 43.063965,141.347902
ย่านช้อปปิ้ง
- บริเวณสถานี JR Sapporo เช่น ห้าง Daimaru , ESTA , Paseo, Stellar place และ Apia GPS: 43.068621,141.35081
จุดแวะพักรถ
- Campana Rokkatei (คัมพาน่า รอคคะ เท) คาเฟ่ที่อยู่ในไร่องุ่น มีอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ให้บริการ Tel: 0167-39-0006
http://www.rokkatei.co.jp.e.sy.hp.transer.com/facilities/campana/
- Rest-house Omoide-no-furano ร้านขายอาหารและของฝาก ห่างจากฟาร์ม Shikisa-no-oka 3 กม.
ร้านอาหาร
- ร้าน MUU อาหารจากผักออแกนิกที่ปลูกในท้องถิ่น ร้านอยู่เลยสระมรกตพอสมควร Tel: 0166-75-3469 https://www.facebook.com/cafemuu
- ร้าน Teppan Okonomiyaki Masaya เจ้าของพูดอังกฤษได้ อยู่เลย Farm Tomita Tel: 0167-23-4464 http://furanomasaya.com/
- ตรอกราเมน (Ramen Yokocho) GPS: 43.054731,141.354034
- Sapporp Ramen Republic ศูนย์การค้า ESTA ชั้น 10 (บริเวณสถานีรถไฟ JR Sapporo) GPS: 43.06754,141.352724
ส้มหวังว่ารีวิว “Hokkaido Road Trip” ญี่ปุ่นรอบนี้พาครอบครัวไป Happy ที่ฮอกไกโด” ทั้ง 3 ตอน จะเป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ที่สนใจขับรถเที่ยวฮอกไกโดเองได้บ้างนะคะ ตอนแรกครอบครัวเราก็กลัวเหมือนกันค่ะ กลัวว่าการขับรถที่ญี่ปุ่นจะหลงทาง , ใช้ GPS ไม่เป็น กลัวว่าอาจถูกตำรวจจับเพราะขับรถผิดกฎอะไรโดยไม่รู้ตัว แต่มันเป็นเพียงแค่ความกลัวค่ะ ถ้าเรากล้าที่จะลองแล้ว เราจะเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทำให้ประทับใจอีกครั้งหนึ่ง… แล้วไปขับรถเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อนด้วยกันนะคะ
รีวิวนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวเพื่อนๆ ตาลาย ครั้งหน้าส้มจะพาไปเที่ยวที่ไหน นอนโรงแรมอะไร กินอาหารอร่อยร้านใดอีก รอติดตามกันด้วยนะคะ บ๊ายบาย
ลิ๊งค์ Part 0 : https://www.i-som.com/?p=4481
ลิ๊งค์ Part 1 : https://www.i-som.com/?p=4532
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand