“Hokkaido Road Trip” ญี่ปุ่นรอบนี้พาครอบครัวไป Happy ที่ฮอกไกโด (ว่าด้วยเรื่องการเช่ารถขับที่ญี่ปุ่น)
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกคน ด้วยภารกิจหลายอย่างทำให้เว็บ i-som.com ห่างหายจากการเขียนรีวิวมานานพอสมควร วันนี้ส้มกลับมาแล้วค่ะ กลับมาพร้อมกับข้อมูลทริปพากิน พาเที่ยวในแบบครอบครัวตะลอนทัวร์ต่างประเทศ ด้วยการขับรถเที่ยวช่วงฤดูร้อนบน “เกาะฮอกไกโด” (Hokkaido) ประเทศญี่ปุ่นกันจ้า ถ้าพร้อมแล้ว ตามมากันเลย!!!
หลายครั้งที่เราเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในสถานที่สวยๆ แล้วคิดในใจว่า “คงจะดีนะถ้าครอบครัวของเรามาอยู่ตรงนี้” แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้ไม่กล้าพาคุณพ่อ คุณแม่ไปด้วย เพราะกลัวท่านจะเหนื่อย เมื่อยเกินไปกับการเที่ยวกับลูกๆ โดยไม่ซื้อทัวร์ แต่รีวิวนี้จะทำให้ความฝันของใครหลายคนที่อยากพาคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้สูงอายุไปเที่ยวต่างประเทศเป็นเรื่องง่ายขึ้น รับรองต้องประทับใจ สว. แน่นอน เพราะเราจะพาท่านเที่ยวชิลๆ ที่เกาะฮอกไกโด ได้ชมดอกไม้ กินของอร่อย เหนื่อยเมื่อไหร่ก็งีบหลับได้ ก็เราจะ “เช่ารถขับเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง” สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้วจ้า
ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นชื่อของจังหวัดและเกาะที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นค่ะ ที่นี่มีเมืองดังๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่เที่ยวยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็นเมืองซัปโปโร (Sapporo) , โอตารุ (Otaru) , ฮาโกะดาเตะ (Hakodate) หรืออาซาฮิคาว่า (Asahikawa)
หากพูดถึงฮอกไกโดหลายคนอาจนึกถึงภาพหิมะขาวปุยในช่วงฤดูหนาว เล่นสกีอยู่ที่สกีรีสอร์ทที่ไหนซักแห่ง แต่ขอบอกว่า “ฤดูร้อน” ที่เกาะฮอกไกโดนี่แหละค่ะคือไฮไลน์ของการท่องเที่ยว เพราะนอกจากอากาศดี ไม่ร้อนจนเกินไป ยังโชคดีสองชั้นเพราะได้ชมสวนดอกไม้ และทานผลไม้อร่อยๆ อย่างเมลอนอีกด้วย ครอบครัวเราเลยตัดสินใจพาพ่อแม่ รวมถึงเด็ก (โข่ง) แบบเราๆ รวมแล้ว 6 ชีวิต ไปสัมผัสความสวยงามของเกาะเหนือด้วยตาของตัวเอง
เดือนกรกฎาคม น่าจะเป็นช่วงที่ฮิตมากที่สุดค่ะ เพราะถ้ามาก่อนหรือหลังซักเดือน ทุ่งดอกไม้แถบเมืองฟุราโน่ บิเอะยังสวยไม่เต็มที่ (มาเร็วก็ยังไม่บาน มาช้าก็ร่วงโรยหมดแล้ว แต่จริงๆ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ก็มีดอกไม้สวยๆ ให้ชมแล้วนะคะ แต่จะเป็นเมืองอื่นๆ) ส้มไปกลางเดือนกรกฎาคมดอกไม้บานแล้ว แต่ถ้าให้สวยสุดๆ คิดว่าปลายเดือนน่าจะพร้อมใจกันเบ่งบานกันถ้วนหน้ามากกว่านี้อีก แต่ไม่เป็นไรที่ได้เห็นมาก็ถือว่าสวยมากๆ แล้ว พอเรากำหนดช่วงเดินทางได้ ส้มเลยต้องรีบดำเนินแผนเที่ยวโดยด่วน ทั้งจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม จองรถเช่า แต่กว่าจะทำสามอย่างนี้ได้ ก็ต้องคิดแผนเที่ยวให้เรียบร้อยซะก่อน แต่เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ส้มเลยวางแผนด้วยภาวะกดดันเล็กๆ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีแพลนจะไปฮอกไกโด งั้นมาเริ่มเตรียมตัวกันเลยค่ะ
“เกาะฮอกไกโด”….. เห็นเค้ามั้ย เค้าอยู่ตรงนี้ไงตัวเอง
เตรียมพร้อมสู่การท่องเที่ยว
ตั๋วเครื่องบิน
สายการบินที่บินตรงรวดเดียวถึงสนามบิน New Chitose เมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น เท่าที่ส้มทราบมีสายการบินไทย (Thai Airways) และสายการบิน ANA แม้ราคาค่อนข้างแพงแต่ด้วยเวลาเที่ยวที่มีแค่ 5 วัน (ต้องรีบกลับมาทำงาน จริงๆ อยากอยู่นานกว่านี้นะ อิอิ) และเพื่อความสะดวกในการสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับแอร์โฮสเตส เลยตัดสินใจเลือกสายการบินไทยค่ะ (ท่านแยกนั่งชั้นธุรกิจน่ะค่ะ)
จากตอนแรกคิดว่าทริปนี้ไม่มีทางเกิดแน่ๆ คงได้เปลี่ยนแผนไปเที่ยวที่อื่นแทน ก็ราคาตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดตกคนละ 40,000 กว่าบาท คงเพราะเราจองกระชั้นชิดวันเดินทางด้วยน่ะค่ะ แต่โชคดีมากๆ ที่ขยันเช็คหน้าเว็บการบินไทย เลยเจอราคาโปรโมชั่นที่ถูกลงไปเกือบครึ่ง (ตาวาวหนักมาก) เลยรีบสอยตั๋วไป-กลับ ชั้นประหยัด ในราคาคนละ 21,725 บาท (กราบความพยายามของตัวเอง ทำไมตอนเรียนไม่ตั้งใจขนาดนี้บ้างเนอะ)
ส่วนพ่อแม่นั่งชั้นธุรกิจ (Business) เพราะมีราคาพิเศษสำหรับผู้ใช้บัตรเครดิต SCB First ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะท่านจะได้นอนหลับสบาย เนื่องจากเราถึงญี่ปุ่นไฟลท์เช้าแล้วเที่ยวต่อทันที ถ้าวัยแบบพวกเราไม่มีปัญหาหรอก แต่สำหรับผู้ใหญ่นี่เหนื่อยเอาเรื่องอยู่นะ (ลืมบอกว่าพ่อแม่อายุ 60 กว่าค่ะ) อีกอย่างมีประสบการณ์ตอนพาท่านไปเที่ยวโตเกียว ถึงญี่ปุ่นเช้าเที่ยวต่อเลย (แถมเที่ยวโหดด้วย) วันนั้นสงสารเลยค่ะ เพราะท่านดูเหนื่อยมากๆ ทางที่ดีหากเพื่อนๆ มีเวลาเที่ยวหลายวันหน่อย แนะนำให้เลือกไฟลท์ไปถึงตอนเย็นดีกว่า จะได้ให้ผู้ใหญ่นอนพักเอาแรงซักคืนก่อนเริ่มทริปเที่ยวเนอะ
เพื่อนๆ สามารถเช็คราคาตั๋วเครื่องบินคร่าวๆ เพื่อเปรียบเทียบแต่ละสายการบินได้จากเว็บไซต์ https://www.expedia.co.th ได้นะคะ แต่ส้มแนะนำว่าให้ลองเข้าไปเช็คราคาในเว็บตรงของสายการบินด้วย อย่างตอนที่ส้มดูราคาจาก expedia แพงกว่าเว็บตรงของการบินไทย แล้วไม่มีราคาโปรโมชั่นด้วยนะ
ตัวอย่างไฟลท์บินตรงไทย-ซัปโปโร ของสายการบินไทย
ที่พัก
เนื่องจากช่วงหน้าร้อน เกาะฮอกไกโดป๊อบปูล่ามากเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หมายมอง แต่ชาวอาทิตย์อุทัยก็เล็งไว้เช่นกัน ครอบครัวเราก็ใจเย็นไปหน่อย กว่าจะตัดสินใจได้ก็เหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนเดินทาง (คนจัดทริปแอบเครียดเลย) เราเลยประสบปัญหาที่พักเต็ม ส่วนที่เหลืออยู่ราคามหาโหดมาก ช่วงปกติหรือจองแต่เนิ่นๆ ราคาห้อง 3,000 – 6,000 บาท แต่ที่เจอคือเหยียบหมื่นทุกที่ งานนี้เลยต้องใช้กลยุทธ์ปรับแผนเที่ยวให้ตรงกับที่พักที่เราพอจะจองได้ เล่นเอาวุ่นพอสมควรเลยค่ะ
ดังนั้น ถ้าคิดว่า “ฉันไปแน่ๆ ฮอกไกโดช่วงหน้าร้อน” โปรดจองที่พักตั้งแต่เนิ่นๆ เถอะคะ จะได้ไม่เจ็บแบบครอบครัวเค้า (T_T) ส้มคิดว่าที่พักฮอกไกโดมีน้อยกว่าแถบโตเกียวหรือโอซาก้าเยอะเลย ยิ่งเข้าพัก 6 คน 3 ห้องแบบส้มด้วยแล้ว ยากกว่างมเข็มในทะเลอีก ดังนั้นจองไวๆ จะได้มีตัวเลือกเยอะๆ ที่สำคัญราคาถูกกว่ามากมายค่ะ
ส่วนการจองส้มก็ยังรักมั่นใช้บริการ agoda.com เหมือนเดิมค่ะ เพราะรู้สึกว่าจองง่าย ไว้ใจได้ ไม่ทอดทิ้ง (ไม่มีหุ้นในนั้นนะ 555) เช็คชัวร์จากรีวิวผู้เข้าพักจริงที่มาบอกเล่าเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ที่ชอบคือสะสมแต้มไว้เป็นส่วนลดการจองครั้งถัดไปได้ด้วยค่ะ
เทคนิคในการจองของส้ม เบื้องต้นจะหาข้อมูลจาก agoda ก่อน โดยเลือกโซน เลือกเมือง-จังหวัดที่ต้องการจอง จากนั้น มองหาห้องพักที่ราคาโอเค คะแนนรีวิวสูง ได้รับคำชมจากลูกค้าเยอะ รวมถึงทำเลและที่จอดรถฟรีด้วย เพราะทริปนี้เราขับรถเที่ยว พอได้ลิสที่พักที่ตรงใจ ให้มาเสิร์ชหาใน google อ่านพวกรีวิวอีกทีว่าประสบการณ์ที่คนอื่นเข้าพักเป็นยังไงบ้าง อย่าเพิ่งรีบจองเพียงเพราะมันถูก เพราะคำว่าถูกอาจจะพ่วงมาด้วยห้องที่เล็กจนเกินไป (ให้ผู้ใหญ่พักถ้าเป็นไปได้เลือกห้องที่มีขนาดใหญ่หน่อย เตียงแบบ Twin จะสบายกว่า) , ไม่มีอาหารเช้า , ไม่มีที่จอดรถ หรือได้รับการบริการแย่ก็ได้
ปล.1 ข้อดีของการขับรถเที่ยวคือ เราสามารถเลือกที่พักที่อยู่ห่างจากตัวเมืองออกมาหน่อย เพื่อจ่ายค่าห้องพักถูกลงค่ะ
รักมั่นกับ agoda มากๆ เท่าที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาในการจอง (และหวังว่าจะไม่เจอนะ)
รถเช่า
ทริปนี้ต่างจากการเที่ยวญี่ปุ่นทุกครั้งที่ผ่านมา อย่างที่บอกว่าเราพาพ่อแม่ไปด้วย คณะเรารวมกันตั้ง 6 คน จะนั่งรถไฟ ต่อรถบัส คิดว่าไม่น่าจะเวิร์ค เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งอยู่ห่างกันพอสมควร เลยลองกดเครื่องคิดเลขเปรียบเทียบราคาค่าเช่ารถตลอด 5 วัน+ค่าทางด่วน กับการซื้อตั๋วรถไฟเที่ยว สรุปเช่ารถแพงกว่านิดเดียว แต่ได้ความสบายเพิ่มมาเยอะมากค่ะ… แล้วจะรอช้าอยู่ใย เช่ารถขับนี่แหละคือทางเลือกที่ดีที่สุด
บริษัทเช่ารถที่ญี่ปุ่นมีหลายเจ้าให้บริการนะคะ เห็นหลายคนใช้บริการ https://www2.tocoo.jp/en/ แต่ส้มเลือกใช้ของ Nippon Rent-A-Car Hokkaido ด้วยปัจจัยหลายอย่าง คือ มีบริการรถรับ-ส่ง ระหว่างสำนักงานและสนามบินฟรี , มีรถหลายรุ่น หลายยี่ห้อให้เลือก , เว็บไซต์ภาษาอังกฤษ , ขั้นตอนจองง่าย , ไม่ต้องจ่ายมัดจำล่วงหน้า , พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ และที่สำคัญมีบริการเช่าบัตร ETC (เหมือนบัตร Easy Pass บ้านเรา) และซื้อแพ็คเกจ Hokkaido Expressway Pass ได้ในที่เดียวด้วย (บริษัทเช่ารถบางแห่งก็ไม่มีให้บริการ ถ้ามีก็ต้องเสียเวลาไปรับ-ส่งคืนที่ไปรษณีย์ในสนามบิน)
เจ้าบัตร ETC จริงๆ จะมีเฉพาะรถที่คนญี่ปุ่นใช้กันทั่วไปนะคะ แต่ Nippon Rent-A-Car มีให้เราเช่าด้วย ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย แค่ขับเข้าช่องจ่ายเงินที่มีสัญลักษณ์ ETC ก็พอ ผ่านฉลุย ไม่ต้องจอดจ่ายตังค์ ส่วนแพ็คเกจ Hokkaido Expressway Pass ขอบอกว่าควรซื้ออย่างยิ่งค่ะ ถ้าเส้นทางท่องเที่ยวของเราต้องใช้ทางด่วนด้วยนะ ค่าทางด่วนญี่ปุ่นแพงมาก แต่มีแพ็คเกจเหมาอุ่นใจไม่ต้องกลัวเกินงบ มีตั้งแต่ 2 วันขึ้นไปค่ะ ของส้มซื้อแบบ 5 วันราคา 6,700 เยน (ตก 1,340 เยน/วัน) ถือว่าคุ้มมากๆ เพราะแค่จากสนามบิน ไปเมืองซัปโปโรก็หลายพันเยนแล้ว
เว็บไซต์จองรถเช่า : https://www.nrgroup-global.com/en/
รายละเอียดเพิ่มเติม Hokkaido Expressway Pass : http://www.driveplaza.com/trip/drawari/hokkaido_expass/en.html
เข้าเว็บไซต์นี้แล้วเริ่มทำการจองได้เลยค่ะ จองครบ จบในเว็บเดียว เพียงแค่ใส่สถานที่รับ-ส่งคืนรถ รวมถึงระบุวันที่ต้องการเช่าด้วยนะคะ
เมื่อมีบัตร ETC ก็ต้องเข้าช่องชำระเงินแบบ ETC ด้วยนะจ๊ะ
มีไว้อุ่นใจว่างบค่าทางด่วนจะไม่บานปลาย
ประเภทรถมีทั้งรถเก๋ง , Minivan ไปจนถึงรถตู้ (แต่รถตู้ต้องมีใบขับขี่อีกประเภทถึงขับได้นะ) การเลือกรถนอกจากดูจำนวนผู้โดยสารแล้ว ต้องดูด้วยว่ารถคันนั้นสามารถเก็บกระเป๋าเดินทางได้กี่ใบ เพราะเรามีกระเป๋าใบเขื่องติดสอยห้อยตามไปด้วย ถ้าเลือกประเภทที่เล็กเกินไปจะเกิดปัญหาพื้นที่ในการเก็บสัมภาระไม่พอนะคะ สำหรับครอบครัวส้มเช่ามินิแวนเพราะเรามีสมาชิก 6 คน เบาะแถวหลังสุดก็พับไปครึ่งหนึ่งไว้วางกระเป๋า แถมระหว่างทางยังมีเมล่อนกล่องใหญ่ ถุงช้อปปิ้ง แถมลังอีกสองสามใบเพิ่มขึ้นมา แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะรถมีพื้นที่เพียงพอในการวาง เที่ยวไปช้อปไป การขับรถนี่แหละเหมาะสุดกับการหอบสัมภาระเยอะๆ
หน้าจอเว็บ Nippon Rent-A-Car จะแสดงข้อมูลรถประเภทต่างๆ ให้เลือก มีตั้งแต่ 2 คนนั่งขึ้นไปค่ะ
หลังจากเลือกรถที่ต้องการแล้ว จะมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ให้เลือกด้วย แนะนำสิ่งที่ต้องมีคือ บัตร ETC และแพ็คเกจ Hokkaido Expressway Pass อ่อ อีกอย่างคือ GPS นะคะ
ส่วนประกันต่างๆ ค่อยไปซื้อเพิ่มตอนรับรถก็ได้ค่ะ จะได้ถามรายละเอียดแต่ละประกันกับเจ้าหน้าที่ด้วย
เมื่อเลือกทุกอย่างครบแล้ว ระบบจะคำนวนค่าใช้จ่าย เราแค่กรอกรายละเอียดผู้จอง แล้วทางบริษัทรถเช่าจะส่งอีเมลคอนเฟิร์มมาให้ค่ะ
ส้มเลือกรับ-ส่งรถที่สำนักงาน New Chitose Airport ห่างจากสนามบินโดยการนั่งรถประมาณ 10 นาทีค่ะ จริงๆ มีแบบรับและส่งคนละสถานที่ด้วยนะ แต่ว่าจะชาร์จเงินเพิ่ม ส้มไปกลับที่สนามบินเดิมเลยประหยัดได้หน่อย ตอนจองต้องระบุเวลารับและคืนรถด้วย เค้าจะได้คำนวณค่าเช่าได้ถูก เพราะว่าต้องจ่ายเงินก่อนรับรถ (รับทั้งเงินสดและบัตรเครดิต) หากคืนเกินเวลาที่ระบุไว้จะถูกคิดเงินเพิ่มเป็นรายชั่วโมงค่ะ (แต่ถ้าคืนรถก่อนเวลาไม่น่าจะมีคืนเงินนะ)
ถ้าเพื่อนๆ มาถึงสนามบินไฟลท์เช้า (การบินไทย 08.30 น.) และกลับไฟลท์เช้าเช่นกัน (การบินไทย 10.30 น.) ขอแนะนำว่าให้เลือกรับรถช้าหน่อย ซักประมาณ 10.30 น. คืออยากให้เผื่อเวลาเที่ยว “Doraemon Wakuwaku Sky Park” ที่อยู่ภายในสนามบิน New Chitose ซึ่งเปิดเวลา 10.00 น. แล้วค่อยเดินทางไปรับรถก็ได้ เพราะขากลับเราไม่มีเวลาแวะเที่ยว จะได้คุ้มค่ากับการมาเยือนสนามบินแห่งนี้เนอะ
สำหรับขั้นตอนการรับรถ ให้ปริ๊นอีเมลตอบรับการจองที่มีหมายเลข Booking ไปยื่นกับเจ้าหน้า ใช้เวลาใช้การตรวจเอกสารและส่งมอบรถประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง ถ้าคนเยอะนะรอนานเลย ส่วนตอนคืนรถใช้เวลาน้อยกว่า คงเพราะส้มไปตอนเช้าตรู่ ยังไม่มีใครมาคืนเลยใช้เวลาแค่สิบนาทีได้ อ่อ ขากลับไม่ต้องแวะเติมน้ำมันที่ปั้มไหนนะคะ ที่ Nippon rent a car สาขานี้เค้ามีบริการเติมน้ำมันให้เต็มตอนคืนรถ แล้วเราค่อยจ่ายเงินให้เค้า (ไม่รู้สาขาอื่นมีบริการด้วยรึเปล่า)
ส้มเลือกคืนรถตอน 7.30 น. เพราะกลับเมืองไทยไฟลท์ 10.30 น. เพื่อนๆ สามารถเลือกเวลาคืนรถเช้าสุด 7.00 น. และเพื่อความสะดวกในการขนสัมภาระไปเช็คอิน ส้มใช้วิธีไปส่งครอบครัวพร้อมกระเป๋าทั้งหมดที่สนามบินก่อน แล้วสามีกับส้มค่อยขับรถไปส่งที่สำนักงาน Nippon rent a car จากนั้นก็นั่งรถของบริษัทกลับมาที่สนามบิน
ปล.2 ถ้าเรามีคนขับสองคนต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ แล้วเค้าจะขอพาสปอร์ตและใบขับขี่สากลของทั้งคู่ด้วย เดี๋ยวเกิดถูกคุณตำรวจญี่ปุ่นเรียกแล้วไม่มีข้อมูลว่าเราเป็นหนึ่งในผู้ขับจะยุ่งเอาเน้อ
วิธีการจองรถเช่าของ Nippon Rent-A-Car : https://www.nrgroup-global.com/en/usage-guide.php
อีเมลที่ส่งมาจากบริษัทเช่ารถ อย่าลืมปริ๊นไปให้พนักงานตอนรับรถนะจ๊ะ
ว่าด้วยเรื่องการขับรถที่ญี่ปุ่น
1. เอกสารจำเป็นต้องใช้สำหรับการขับรถในต่างประเทศ
อย่างแรกที่ต้องมีคงหนีไม่พ้นพาสปอร์ตค่ะ ใช้ยื่นตอนรับรถ ส่วนอย่างที่สองคือ “ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ” (International Driving License) ส้มถนัดเรียกใบขับขี่สากลมากกว่า
เจ้าสิ่งนี้ทำได้ไม่ยากค่ะ เตรียมเอกสารไม่กี่อย่าง ได้แก่
- สำเนาหนังสือเดินทาง เล่มที่ใช้ในการเดินทาง ประวัติหน้าที่แก้ไข (พร้อมฉบับจริง)
- สำเนาประจำตัวประชาชน (พร้อมฉบับจริง)
- สำเนาใบขับขี่รถส่วนบุคคล หรือ ตลอดชีพ (พร้อมฉบับจริง) ใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยกรมการขนส่งทางบกซึ่งยังไม่หมดอายุ ***(พร้อมฉบับจริง)***
- รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป (ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ) ถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม , ไม่มีภาพวิวหลังรูป (เห็นบางคนแนะนำว่าให้ใช้กระดาษด้าน เพราะกระดาษมันประทับตราไม่ติด)
- สำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อ- สกุล, ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า (ถ้ามี)
- ค่าธรรมเนียม 505 บาท
แล้วนำไปยื่นที่สำนักงานขนส่งใกล้บ้าน รอประมาณ 30 นาทีก็ได้ใบเบิกทางสำหรับขับรถยนต์ในต่างแดนแล้วค่ะ (ใบขับขี่สากลมีอายุเพียง 1 ปีนะคะ)
รายละเอียดเพิ่มเติมการทำใบขับขี่สากล : https://www.dlt.go.th/th/driving-license/view.php?_did=90
หน้าตาของ “ใบอนุญาตขับขี่ระหว่างประเทศ”
2. ฟังค์ชั่นต่างๆ ภายในรถยนต์ญี่ปุ่น
รถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นใช้พวงมาลัยขวา และขับฝั่งเดียวกับประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ขับรถอยู่แล้ว อีกอย่างเป็นเกียร์ออโต้ด้วย ไม่เหมือนเวลาไปเช่าที่ยุโรปส่วนใหญ่มีแต่เกียร์กระปุกทั้งนั้นเลย (เกียร์ออโต้ก็พอมีแต่ค่าเช่าโหดมาก)
นอกจากอุปกรณ์ทั่วไปแล้ว สิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในทริปขับรถเที่ยวบนเกาะฮอกไกโดคือ “GPS” ซึ่งมีให้เช่าแบบที่มีภาษาอังกฤษค่ะ เพื่อนๆ สามารถเสิร์ชหาเส้นทางได้จากชื่อสถานที่ แต่ที่ง่ายสุดคือเสิร์ชจากเบอร์โทรศัพท์และ Mapcode ทั้งที่เที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ปั้มน้ำมัน จุดแวะพักรถ ฯลฯ แค่พิมพ์ลงไประบบ GPS จะทำการค้นหาเส้นทางให้ในพริบตา ดังนั้น ตอนที่เราวางแผนเที่ยวก็หาข้อมูลเบอร์โทรและ Mapcode สถานที่ต่างๆ ไว้ด้วยก็ดีค่ะ (บริษัทเช่ารถแจกเอกสารเบอร์โทรและ Mapcode สถานที่เที่ยวให้ 1 ชุด ส้มสแกนมาให้ดาวน์โหลดใน Part 1 ด้วยนะ)
หน้าจอยังแสดงข้อมูลปั้มน้ำมัน จุดพักรถระหว่างทางให้ด้วย เลยทำให้เราวางแผนการเดินทางได้ง่ายขึ้นไปอีกค่ะ แต่การเสิร์ชหาสถานที่ต้องพิมพ์ตอนรถหยุดแล้วเท่านั้นนะคะ ระหว่างขับจะไม่สามารถพิมพ์ได้ คงเพราะเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่น่ะค่ะ
แม้ GPS ที่ได้มาจะพาไปเส้นทางที่เป๊ะแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์เสมอไปนะคะ ทางที่ดีควรใช้ google map ประกอบด้วยจะชัวร์ยิ่งขึ้นค่ะ
GPS ใช้ง่ายเพียงแค่กรอกเบอร์โทรหรือ Mapcode ของสถานที่ที่เราจะไป
3. กฎหมายการขับขี่
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ขับรถบ้านเค้าก็ต้องรักษากฎหมายประเทศเค้าด้วยนะคะ หลักๆ คือ
- จำกัดความเร็ว 50 และ 30 กม./ชม. ในพื้นที่เขตเมือง , 60 กม./ชม. , ถนนสายหลักและชานเมืองและทางด่วนไม่เกิน 100 กม./ชม. (แต่เราก็แอบมีขับเกินบ้างประปราย รู้ตัวก็ต้องรีบเบาเท้าลงหน่อย)
- ไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ต้องรอสัญญาณไฟทุกครั้ง
- เจอสี่แยกต้องหยุดทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย แม้จะเป็นแยกเล็กๆ ไม่มีรถผ่านมาก็ตาม สี่แยกจะมีสัญลักษณ์หยุดอยู่ค่ะ (ป้ายสามเหลี่ยมสีแดง)
- ขับรถเลนซ้าย ห้ามขับแช่ขวา
- คนขับและผู้โดยสารต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
คู่มือเพื่อการขับรถยนต์ในฮอกไกโด : http://www.jnto.or.th/transportation/automobiles/hokkaido-driving-guide
ดาวน์โหลดคู่มือได้ที่นี่เลยจ้า driving in hokkaido
4. การเติมน้ำมัน
หลายคนกังวลเรื่องการเติมน้ำมัน เท่าที่ส้มเจอมีทั้งเติมเองและมีพนักงานบริการ ถ้าเจอปั้มไหนมีพนักงานเติมให้รีบเลี้ยวเข้าเลยค่ะ สะดวก รวดเร็ว ดีกว่าไปเสียเวลากดผิดกดถูก แต่ถ้าไม่เจอก็เข้าแบบเติมเองก็ได้ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คู่มือเพื่อการขับรถยนต์ในฮอกไกโด
ทริปนี้ส้มเติมน้ำมันรถครั้งเดียว (ไม่รวมที่ต้องเติมให้เต็มตอนส่งรถ แต่ไม่กี่พันเยน) เติมไปทั้งหมด 5,441 เยน จะใช้เงินสดหรือบัตรเครดิตจ่ายก็ได้ค่ะ
เนื้อหา (บางส่วน) ในคู่มือ
5. ที่จอดรถ
จากที่ตะลอนเที่ยวมาตลอด 5 วัน จะมีแค่ในเมืองซัปโปโรเท่านั้นค่ะที่เสียค่าที่จอดรถ นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นเมืองฟุราโน่ บิเอะ สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ รวมถึงโรงแรมจะมีที่จอดรถฟรี คงเพราะว่าพื้นที่จังหวัดฮอกไกโดใหญ่มาก ประชากรก็ไม่หนาแน่นเท่าภูมิภาคอื่นๆ ทริปนี้ส้มเสียค่าที่จอดรถเพียงครั้งเดียวตอนพักโรงแรมในซัปโปโร
ที่เที่ยวในเมืองซัปโปโรหลักๆ อยู่ไม่ไกลจากกัน เราก็อาศัยเดินเล่นไปเรื่อยๆ ไม่ต้องขับรถ ก็ประหยัดค่าที่จอดไปได้พอสมควรเลยค่ะ สำหรับที่จอดรถส้มเห็นแต่แบบอัตโนมัตินะคะ ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยเฝ้า บริเวณประตูทางเข้าจะมีตู้กดปุ่มรับและคืนบัตรจอดรถแบบอัตโนมัติ พอตอนจะออกค่อยนำบัตรมาเสียบเข้าไปเพื่อคำนวนเงิน จากนั้นก็จ่ายตามเวลาที่ได้จอดไปที่ตู้นี้เช่นกัน (จ่ายเงินสด)
อื่นๆ ที่ต้องเตรียม
สังคมก้มหน้าขนาดนี้มีหรือจะพลาดโซเชียล ใครใคร่เปิดโรมมิ่ง ซื้อ Sim หรือเช่า Pocket WIFI เหมือนส้มก็ได้นะคะ ตัวเดียวแชร์กัน 6 คนได้สบายๆ ครั้งนี้ก็ยังใช้ Samurai WIFI เจ้าเดิม เพราะไม่เคยมีปัญหา แล้วก็มีบริการส่งถึงบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย (แต่ทริปล่าสุดไปโอซาก้า เจอสายชาร์จเสีย ดีที่มีสายชาร์จของอุปกรณ์อื่นที่ใช้แทนได้ เซ็งเลย)
แล้วก็ที่ชาร์จแบ็ตสำรองด้วยนะ ใครว่าวัยรุ่นวัยทำงานติดโซเชี่ยล รุ่นใหญ่ที่แหละที่สุดแล้ว เช้ามาต้องทักทายเพื่อนฝูง เฟสต้องอัพ ไลน์ต้องอ่านนะจ๊ะ ธรรมดาซะที่ไหน อิอิอิ
อีกอย่างที่สำคัญคือเมื่อไปกับผู้สูงอายุก็ต้องระวังเรื่องสุขภาพ ยาต่างๆ เตรียมให้พร้อม โดยเฉพาะยาประจำตัว ต้องคอยเตือนท่านให้พกไป ส่วนประกันการเดินทางก็ต้องมี ถึงจะไปไม่กี่วัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างท่องเที่ยว ค่าประกันไม่กี่ร้อยบาท แลกกับความสบายใจ และความสะดวก ซื้อเถอะนะจ๊ะ
ส่วนเรื่องเสื้อผ้าไม่ต้องมีอะไรมาก เพราะไปหน้าร้อน รู้สึกกระเป๋าเบาลงเยอะไม่ต้องหอบเสื้อหนาๆ แต่ยังไงก็เผื่อเเจ็คแก็ตไปซักตัวนะคะ แม้ขึ้นชื่อว่าหน้าร้อน แต่เป็นร้อนแบบฮอกไกโด อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิอยู่ที่ 20-25 องศา แต่บางวันก็ลงไปเหลือแค่ 18 องศาเองค่ะ อย่าให้เทียบกับเมืองไทย อยากร้องไห้ (T_T)
Samurai WIFI เจ้าเดิม
รีิวิวครั้งนี้เน้นไปที่การเตรียมตัวและสิ่งที่ควรรู้ ก่อนที่จะเดินทางไปขับรถท่องเที่ยวบนเกาะฮอกไกโดนะคะ สำหรับรีิวิวหน้าเราจะพาไปเที่ยวให้เต็มที่ ทั้งชมดอกไม้ ทุ่งหญ้า และอาหารการกิน จัดเต็มแน่นอนค่ะ ยังไงฝากติดตามด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้ไปก่อนแล้วจ้า บ๊าย บาย
ลิ๊งค์ Part 1 : https://www.i-som.com/?p=4532
ลิ๊งค์ Part 2 : https://www.i-som.com/?p=4532
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ https://www.facebook.com/ISomThailand/