ซารางเฮโย…Korea (Part 2)
“เกาะนามิ” สำหรับคนที่ใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ เชื่อว่าคงคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดีใช่มั้ยคะ ใครต่อใครก็อยากไปเยือนและพิสูจน์ว่าเกาะเล็กๆ แห่งนี้ มันโรแมนติกเหมือนในซีรีย์ที่เราดูรึเปล่า Part นี้ส้มจะไปพิสูจน์ให้รู้กันไปเลย ใครอยากรู้ตามมาได้เลยจ้า
Day 3 : เตร็ดเตร่ที่เกาะนามิ กินเมนูทักคาบิ และจิมดักสุดอร่อย
วิธีการเดินทางไป “เกาะนามิ”
หากพูดถึง “เกาะนามิ” (Nami Island) หรือคนเกาหลีเรียกว่า “Namiseom” สำหรับคนที่เคยดูซีรีย์เกาหลีต้องนึกถึงภาพต้นสน หิมะ และ “เบยองจุน-แชงจีอู” คู่พระนางในละครเรื่อง “Winter Love Song” หรือเพลงรักในสายลมหนาวอย่างแน่นอน ซีรีย์เรื่องนี้นอกจากทำให้เราอินในเรื่องราวความรักสุดซึ้งของเค้าทั้งสองแล้ว ยังทำให้เกาะนามิ กลายเป็นสถานที่เที่ยวยอดฮิตไปด้วยล่ะค่ะ
ทั้งชาวเกาหลีและนักท่องเที่ยวต่างเลือกที่นี่เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง เพราะอยากไปสัมผัสบรรยากาศดีๆ เหมือนที่เห็นในซีรีย์บ้าง คุณสามีเค้าเคยมาเกาะนี้หลายรอบแล้วแต่ส้มไม่สนค่ะ เพราะเรายังไม่เคยมา (555) อุตส่าห์ได้ไปเกาหลีทั้งทีขอไปเที่ยวที่นี่แบบคนอื่นเค้าหน่อยสิเนอะ
การเดินทางอาจยุ่งยากกว่าการเที่ยวในกรุงโซลซักหน่อย เพราะเราต้องนั่งรถไฟไปที่เมืองชุนซอน จังหวัดคังวอน แต่ไม่ได้ซับซ้อนมากมายอะไร ยังไงตามไปเที่ยวกับส้มกันนะคะ
ส้มขออธิบายวิธีการเดินทางไปเกาะนามิเป็นข้อๆ แล้วตอนท้ายจะใส่ภาพประกอบให้นะคะ
1) หากเพื่อนๆ พักอยู่แถวเมียงดง Myeongdong (Line4) แบบส้ม เริ่มแรกเลยให้นั่งรถไฟใต้ดิน (Subway) มาลงที่สถานี “Dongdaemun”
2) จากนั้นให้เดินมาเปลี่ยนสายรถไฟไปนั่ง Line1 (สีน้ำเงิน) จุดหมายปลายทางคือที่ สถานี Cheongnyangni (ชองเนียงนี)
3) เมื่อถึงสถานี Cheongnyangni ให้เดินไปตามป้าย “Transfer” ที่มีสัญลักษณ์ “รถไฟความเร็วสูง itx” ตามป้ายบอกทางไป itx ได้เลยค่ะ เพราะเราต้องนั่งรถไฟนี้ไปลงที่สถานี Gapyeong (คาเพยอง)
4) เดินมาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ เราจะมาเจอตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติของรถไฟ itx เพื่อนๆ ก็เริ่มจองตั๋วได้เลยจ้า (เลือกภาษาอังกฤษ – กด “purchasing ticket” – กดเลือก “สถานี Gapyeong” – เลือกรอบ/จำนวนผู้โดยสาร – ใส่เงินตามราคาที่โชว์หน้าจอ – รับตั๋ว – รับเงินทอน)
5) หากเพื่อนๆ คนไหนใช้บัตร T-Money แตะที่ช่องทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน (Subway) มีขึ้นตอนที่ต้องทำเพิ่มเติมหลังจากซื้อตั๋ว itx นั่นคือ
– นำบัตร T-Money ไปแตะที่เครื่อง “Transit Card Reader” ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ ตู้ขายตั๋ว ITX สาเหตุเนื่องมาจากเราไม่ได้ใช้ T-Money แตะออกจากสถานีนี้ แต่เปลี่ยนสายไปที่รถไฟ itx เลย จึงต้องแตะบัตร T-Money ให้เหมือนเราได้ออกจากสถานีแบบปกติแล้ว
– หากไม่แตะออกที่เครื่องนี้ก่อน เมื่อเราใช้บัตร T-Money แตะเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน (Subway) ในครั้งถัดไป บัตรจะไม่สามารถใช้ได้ค่ะ (ยกเว้นกรณีที่ขากลับเพื่อนๆ จะมาลงที่สถานี Cheongnyangni เหมือนเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องแตะบัตรที่ตู้ Transit Card Reader ค่ะ)
6) หลังจากที่ออกจากสถานี Gapyeong แล้ว ให้มารถขึ้นรถแท็กซี่ที่ด้านหน้าเลยค่ะ เพื่อนๆ บอกคนขับแท็กซี่ประโยคเดียวว่า “นามิซอม” แปลว่าเกาะนามิ แค่นี้เค้าก็รู้แล้วว่าเราต้องการไปท่าเรือเพื่อข้ามไปเกาะนามิ (ค่ารถประมาณ 3,000-4,000 วอน/เที่ยว)
ปล.1 ค่าตั๋วรถไฟความเร็วสูง itx คนละ 4,000 วอน/เที่ยว ไม่สามารถใช้บัตร T-Money ซื้อได้ , สำหรับการซื้อตั๋วไป-กลับ ต้องซื้อทีละครั้งนะคะ เท่ากับขากลับเพื่อนๆ ก็ต้องไปที่ตู้แบบนี้เพื่อกดซื้อตั๋วขากลับอีกทีหนึ่งค่ะ
แตะบัตรเข้าสถานีรถไฟตรงสัญลักษณ์ T-Money ได้เลยจ้า
เมื่อถึงสถานี Dongdaemun ให้เปลี่ยนสายไปที่ Line 1 (สีน้ำเงิน) เพื่อนั่งไปลง
สถานี Cheongnyangni (ชองเนียงนี)
เมื่อถึงสถานี Cheongnyangni ให้เดินไปตามป้าย “Transfer” ที่มีสัญลักษณ์ “รถไฟความเร็วสูง itx” ตามป้ายบอกทางไป itx ได้เลย เราจะต้องไปซื้อตั๋วเพื่อนั่งไปสถานี Gapyeong (คาเพยอง)
ตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟด่วน itx
เลือกภาษาอังกฤษ – กด “purchasing ticket”
กดเลือก “สถานี Gapyeong”
เลือกรอบ/จำนวนผู้โดยสาร – ใส่เงินตามราคาที่โชว์หน้าจอ
หน้าตาตั๋วรถไฟด่วน itx
พอซื้อตั๋ว ITX เสร็จแล้ว ก็อย่าลืมแตะบัตร T-Money ที่ตู้นี้ก่อนนะจ๊ะ
รายละเอียดการใช้งาน
ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็ขึ้นบันไดเลื่อนนี้ เพื่อไปขึ้นรถไฟ itx ที่ชานชาลา
ระหว่างยืนรอก็ขอซะหน่อย
เราต้องยืนต่อคิวบริเวณป้ายเลขขบวน/ที่นั่ง ที่ระบุไว้ในตั๋วโดยสารนะคะ
ภายในรถไฟความเร็วสูง itx กว้างขวาง เบาะนุ่มนั่งสบาย บนรถไฟมีรถเข็นขายน้ำ-ขนมด้วยนะคะ อุดหนุนกันได้ ใจจริงส้มอยากนั่งชมวิวข้างทางนานๆ กว่านี้ แต่ว่าเราใช้เวลานั่งมาสถานี Gapyeong ประมาณ 38 นาทีเท่านั้น ก็ดีเหมือนกันค่ะ เราจะได้มีเวลาเที่ยวเกาะนามิเพิ่มขึ้นเนอะ
เบาะนุ่ม นั่งสบาย
พอเห็นคำว่า “Gapyeong” เมื่อไหร่เตรียมลงได้เลย
หน้าสถานี Gapyeong
ต่อแถวขึ้นรถแท็กซี่บริเวณนี้ค่ะ
เติมพลังด้วย “ทักคาบี” เมนูฮิต @ Mr.Dakgalbi
ตอนที่ส้มมาถึงท่าเรือก็เที่ยงพอดี ส้มเลยตรงดิ่งไปร้านอาหารก่อน เพราะตั้งใจจะไปกินเมนู “ทักคาบี” (Dak Galbi) จริงๆ มันก็คือไก่ผัดซอสโคชูจังนั่นแหละค่ะ เกือบทุกกรุ๊ปที่มาเที่ยวเกาะนามิต้องแวะกินเมนูนี้ เราเลยขอจัดบ้าง ร้านอาหารส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณลานจอดรถค่ะ เพื่อนๆ ก็เลือกได้ตามอัธยาศัยเลยนะคะว่าร้านไหนคือผู้โชคดีที่ได้แอ้มเงินในกระเป๋าเรา
ส้มเลือก “ร้าน Mr.Dakgalbi” ตั้งอยู่บริเวณลานจอดรถเช่นกัน หากลงจากจุดที่แท็กซี่จอดส่งเรา เดินต่อเข้ามานิดหน่อยร้านอยู่ทางซ้ายมือค่ะ สังเกตง่ายมากเพราะร้านมีขนาดใหญ่และโดดเด่นด้วยสีแดง ส้มเจอข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบอกว่าอาหารร้านนี้รสชาติดี พอเข้ามานั่งก็จัดการสั่งเมนูทักคาบีสำหรับ 2 คน กินมันแค่เมนูเดียวนี่แหละค่ะ คือแค่อย่างเดียวปริมาณก็ทำเอากินแทบไม่หมดแล้ว
ถึงแล้วท่าเรือไปเกาะนามิ
“Mr.Dakgalbi” ร้านใหญ่ สีแดงสะดุดตามั่กๆ
เมนู (คร่าวๆ)
ระหว่างรออาหาร พนักงานจะนำน้ำเปล่ามาเสิร์ฟก่อน (ฟรีอีกแล้วจ้า)
นั่งรอซักพักพนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ทั้งเนื้อไก่และผักถูกจัดวางอยู่ในกระทะใบใหญ่ พนักงานจะคอยมาผัดให้เราเรื่อยๆ จนอาหารทุกอย่างสุกพร้อมทาน หน้าตาดูน่ากินทีเดียวค่ะ แต่รสชาติจืดกว่าที่คาดหวังไว้ แม้สีจะแดงหลอกเราก็เถอะ (555) แต่ถ้ากินคู่กิมจิและผักที่นำมาห่อความอร่อยก็เพิ่มขึ้นพอสมควรนะคะ ไหนๆ มาถึงแหล่งที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ทักคาบี” แล้วก็อย่าพลาด ลองชิมกันดูนะคะ
กิมจิและผักพร้อม
มาแล้ว “ทักคาบี” (Dak Galbi) น่ากินเชียว
ผัด ผัด ผัด….. ระหว่างรอก็กลืนน้ำลายไปก่อน
ไก่ชิ้นใหญ่ดีจริงๆ
สุกแล้วก็นำมาห่อผักกาดหอมและกิมจิ พร้อมทาน
สัมผัสบรรยากาศแสนสบายที่ “เกาะนามิ”
อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า “เกาะนามิ” (Nami Island) เป็นที่เที่ยวยอดฮิตของประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งโด่งดังมาจากละครเรื่อง “Winter Love Song” เกาะนี้มีขนาดเพียงแค่ 460,000 ตารางเมตร ลักษณะคล้ายใบไม้ลอยน้ำ แต่ขอบอกเลยว่า “ถึงจะเล็ก แต่เจ๋งนะจ๊ะ” คือคุ้มค่าจริงๆ ถ้าได้มาเยือนซักครั้ง
นอกจากความโรแมนติกก็มีของน่ารักตกแต่งด้วย
ก่อนอื่นเราต้องไปซื้อตั๋วสำหรับนั่งเรือเพื่อข้ามฝั่งไปเกาะนามิกันค่ะ ภายในเรือไม่ว่าจะขาไปหรือขากลับ คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เห็นภาพนี้แล้วคอนเฟิร์มได้เลยว่าเกาะแห่งนี้ฮิตจริงๆ
บริเวณจุดซื้อตั๋ว
ได้มาแล้ว (ค่าตั๋วไป-กลับ 8,000 วอน/คน)
ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง “นามิ” เหมือนจะไปเที่ยว ตปท.เลยเนอะ
คนขึ้นเรือเยอะมว๊าาาาก
ใช้เวลานั่งเรือไม่เกิน 5 นาที ในที่สุดเท้าทั้งสองข้างก็เหยียบลงบนผืนดินเกาะนามิซักทีค่ะ วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส แสนเป็นใจให้เรามาเที่ยวเหลือเกิน แม้การมาเที่ยวที่นี่ในฤดูร้อนจะอดเห็นใบไม้เปลี่ยนสี แบบในฤดูใบไม้ร่วง แต่ส้มกลับชอบนะคะ คือมันรู้สึกได้ถึงความสดชื่น ความคึกคักและผ่อนคลายกว่า แถมไม่หนาวเกินไปด้วยนะ
นั่งเรือชิลๆ
ถึงซะที “เกาะนามิ”
นี่ไงรูปร่างของเกาะนามิ เหมือนใบไม้มั้ย
ข้อแนะนำสำหรับการมาเที่ยวเกาะนามิของคนที่เป็นคู่รักกัน ท่านควรแต่งตัวธีมเดียวกันเพื่อให้สมกับเกาะที่แสนโรแมนติกนี้ จะเสื้อเหมือนกัน กางเกงหรือรองเท้าเหมือนกันก็ได้ จะได้ตรงคอนเซ็ป แต่เสียดายมากที่คู่เราแต่งกันคนละเรื่อง ไม่เข้าบรรยากาศเล้ย (>_<”)
คนที่ไม่อยากเดินให้เมื่อย ที่นี่มีร้านที่ให้บริการเช่าจักรยานด้วยนะ แต่ส้มกับคุณสามีขอเลือกที่จะเดินเล่นไปเรื่อยๆ ดีกว่า อยากหยุดถ่ายรูป นั่งพัก ชมสวนตรงไหนก็ได้ สบายใจ อากาศเย็นๆ แบบนี้เหมาะกับเดินเล่นสุดๆ ค่ะ
บนเกาะนามิ มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะมาก เดินไปทางไหนก็อยากหยุดถ่ายรูป
ตากล้องประจำตัว คุณสามีที่รัก
แวะถ่ายรูปตลอดทาง
บรรยากาศดี๊ดี
มีทั้งนก ทั้่งกระรอก
ร้านนี้ขายซาลาเปา
อุ๊ย!! มีภาษาไทยด้วย
อื้อหื้อ
ริมแม่น้ำวิวดีมาก
เมื่อเดินบ้างหยุดบ้างมาซักพัก ก็มาป่ะเข้ากับมุมมหาชน ก็อะไรซะอีกล่ะคะ “แนวต้นสน” ที่เป็นฉากในเรื่อง Winter Love Song นั่นไง สองศรีสามีภรรยาคู่นี้จึงไม่พลาดที่จะแช๊ะ แช๊ะ กันหลายสิบรูป แถมด้วยต่อแถวเพื่อถ่ายรูปคู่ “รูปปั้นเบยองจุนและแชงจีอู” เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจอย่างสวยงาม 555
ต้นสน
ทุกคนดูมีความสุข
เกาะนี้เหมาะกับคู่รักทุกวัย
ไม่ถ่ายคู่ไม่ได้แล้ว อิจฉาความรักเธอ
ส้มใช้เวลาอยู่บนเกาะกว่า 3 ชั่วโมง บอกเลยค่ะว่าเป็น 3 ชั่วโมงที่แสนประทับใจ คนที่อยู่ในกรุงเทพที่รถติดเกือบทุกวัน ได้มาสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด สูดอากาศดีๆ จนเต็มปอด มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก ระหว่างทางก็ได้เห็นภาพสวีทหวานของคู่รัก ภาพความอบอุ่นของครอบครัวที่มาปิคนิก พูดคุย พักผ่อนกันตลอดเส้นทาง
แอบเห็นเค้ามาถ่ายภาพยนตร์ด้วย แต่ไม่รู้ดาราคือใคร (นี่พยายามซูมสุดชีวิตแล้วนะ)
สำหรับส้ม “เกาะนามิ” จึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว แต่มันคือแบตเตอร์รี่ก้อนใหญ่ ที่มาชาร์จไฟให้คนที่กำลังเหนื่อยล้า ให้กลับมามีพลังที่จะสู้ต่อในเช้าวันถัดไป หากมี 10 คะแนนก็จะยกให้หมดหน้าตักเลยล่ะค่ะ
อ่านมาถึงตรงนี้อาจมีคนเห็นแย้งกับส้มว่า “เคยไปมาแล้ว เกาะนามิไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย” ยิ่งถ้าคุณมาเที่ยวกับทัวร์แล้วต้องทำเวลาอย่างกับมาเล่นวิ่งเปรี้ยวที่นี่ล่ะก็… ถูกต้องค่ะ มันไม่มีอะไรเลย เพราะคุณยังไม่ทันได้สัมผัสเสน่ห์ใดๆ ของมันด้วยซ้ำ ดังนั้น หากได้มาเกาหลีอีกครั้ง ส้มแนะนำให้มาเที่ยวเองค่ะ เพราะการเที่ยวด้วยตัวเอง วางแผนเอง ทำให้เราได้มีเวลาซึมซับกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เห็นอะไรๆ ได้ชัดยิ่งขึ้น เมื่อนั้นแหละค่ะ สิ่งรอบข้างจะเผยให้คุณได้เห็นความสวยงามของมัน
มีความสุขแค่ไหน ดูได้จากใบหน้าค่ะ อิอิอิ
เดินทางกลับเข้ากรุงโซล
เต็มอิ่มกับธรรมชาติจนหนำใจแล้ว ก็ได้เวลากลับเข้ากรุงโซลเพื่อชมแสงสีอีกครั้ง ขากลับก็คล้ายขามาเลยค่ะ 1) โบกแท็กซี่กลับไปที่สถานี Gapyeong 2) ซื้อตั๋วรถไฟด่วน itx จากตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ เพื่อไปลงที่สถานี Cheongnyangni 3) เลือกสายรถไฟตามจุดหมายที่เราต้องการ
ส้มคิดว่าทริปนี้จะราบรื่น สวยงาม ที่ไหนได้ ด้วยความรีบร้อนอยากกลับเพราะกลัวดึก อีชั้นขึ้นรถไฟผิดขบวนจ้า!!! จากที่ต้องนั่งรถไฟด่วน itx ดั๊นไปขึ้นรถไฟหวานเย็นจอดทุกสถานี แต่ที่เด็ดกว่าคือมันไม่ได้จอดสถานีที่ฉันจะลง (ดีงามมมม) ซวยแล้วซิตรู!!! โดนสามีด่าแน่โทษฐานใจร้อนไม่เข้าเรื่อง ดีนะที่บนรถไฟมีอัศวิน(ไม่ได้ขี่ม้าขาว) ชาวเกาหลีพยายามจะช่วยเรา ทั้งๆ ที่เค้าพูดอังกฤษแทบไมได้เลย แต่ก็ช่วยเราสุดชีวิต ทั้งเปิดหาข้อมูลในมือถือ และแนะนำว่าเราต้องลงสถานีไหนเพื่อกลับไปขึ้นรถไฟ itx ให้ได้
แต่รถไฟ itx ต้องซื้อตั๋วแบบระบุเวลาเดินทางแต่ละเที่ยว ทำให้ขบวนที่เราจองไว้มันขับผ่านไปแล้ว ในที่สุดเราเลยจำใจนั่งรถไฟหวานเย็นอีกขบวนแทน แต่ขบวนนั้นไปลงสถานี Cheongnyangni ได้ จากกำหนดการเดิมคือมาถึงกรุงโซล 6 โมงกว่า กลายเป็นถึงตอนเกือบ 2 ทุ่ม (หึหึ)
แม้แผนจะรวนเพราะนั่งรถไฟผิด จนอดเที่ยวห้างในย่านทงแดมุนอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยเราก็กลับมากรุงโซลได้ซักที ต้องขอขอบคุณชายเกาหลีคนนั้นมากๆ ส้มไม่รู้ว่าเค้าชื่ออะไร ไม่ได้ขอถ่ายรูปด้วย แต่อยากบอกผ่านช่องทางอีกครั้งว่า “ขอบคุณมากนะคะ”
ขากลับคนเยอะมาก
ตั๋วรถไฟ itx ขากลับ ตะเตือนใจนั่งผิดขบวน
อร่อยถูกปากกับเมนู “จิมดัก”
ไหนๆ ก็อดไปทงแดมุนแล้ว เลยมากินอาหารย้อมใจ (เข้าทาง) เมนูค่ำนี้ขอเสนอ “จิมดัก” (Jjimdak) เป็นไก่และวุ้นเส้นผัดซอสถั่วเหลืองใส่มันฝรั่ง รสหวานๆ เผ็ดๆ เมนูนี้ขอร้องว่า “ห้ามพลาด” ด้วยประการทั้งปวง เพราะหากกินที่ไทยไม่อร่อยเท่าที่นี่แน่นอนค่ะ (เคยกินที่ไทยมาแล้ว)
ส้มเลือกร้าน “New Andong” ตั้งอยู่ในตลาดเมียงดงค่ะ ที่นี่มีเฉพาะเมนูจิมดักนะคะ แต่จะแบ่งเป็น 3 แบบ คือ 1) แบบใส่ไก่ไม่มีกระดูก 2) ไก่มีและไม่มีกระดูกผสมกัน 3) ซีฟู๊ดผสมไก่ ส้มเลือกแบบสุดท้ายขนาดสำหรับ 2 ท่านค่ะ ราคาประมาณ 30,000 วอนค่ะ (ไอ้ขนาดสำหรับ 2 ท่านที่เกาหลี มันไม่เคยกิน 2 ท่านหมดจริงๆ เล้ย)
นั่งรอพักนึงพนักงานก็ยกจานยักษ์มาเสิร์ฟ อื้อหืออออออ น่ากินมาก!!! อลังการงานสร้างที่สุด ในจานอัดแน่นไปด้วยซีฟู๊ดสารพัดอย่าง ทั้งกุ้ง หอย ปลาหมึก ปู รวมถึงมันฝรั่ง ไก่และวุ้นเส้น พอชิมเข้าไปคำนึงเท่านั้นแหละ วางตะเกียบไม่ลงเลยจ้า จานนี้ทำให้ส้มกับสามีเจริญอาหารมากๆ ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม เข้มข้น และมีความเผ็ดร้อน ชั่งถูกปากคนไทยอย่างเราซะจริงๆ แต่แสนเสียดายเหลือเกินที่กินไม่หมดเพราะอิ่มมาก ไปเกาหลีอีกรอบเมื่อไหร่ จะขอกลับไปแก้มือร้านนี้ให้ได้เลยสัญญา…
หลังจากกินจิมดักไปแล้ว กระเพาะฝั่งของคาวเต็มเอี๊ยด แต่ฝั่งของหวานยังว่างอยู่ เลยไปจัดไอติมสูงๆ 1 โคนและนมกล้วยอีก 1 ขวด อิ่มแปล้ของจริง กลับไปนอนตีพุงที่ห้องนอนได้ สบายใจ
ที่ตั้งร้าน New Andong : 3 Myeongdong-10 gil
วิธีการเดินทาง : สถานีเมียงดง ทางออก 8 เดินตรงเข้าตลาดมาเรื่อยๆ ผ่านแยก 3 ครั้ง เลยร้าน H&M ร้านอยู่เกือบสุดซอยขวามือ / ใกล้กับโรงแรม J Hill Hotel มากๆ)
หน้าร้าน “New Andong”
รออาหารอย่างใจจดใจจ่อ
“จิมดัก” มาแล้ว จานใหญ่เครื่องเยอะสะใจ
น่องไก่ซักชิ้นมั้ยคะ
มาเดินเล่นหาขนมกินก่อนเข้านอน (อ้วนไม่กลัว กลัวไม่ได้กิน อิอิ)
ไอติมที่ละลายก่อนกินหมด
“นมกล้วย” มาเกาหลีทั้งที ต้องลอง
*************************************************************************************************************************************
Day 4 : เที่ยว 3 ตลาด & ละลายเงินวอนที่ LOTTE Mart
ยามเช้าที่ตลาดนัมแดมุน
เผลอแป๊บเดียวก็เข้าสู่วันที่ 4 ของการเที่ยวเกาหลีด้วยตัวเองครั้งแรกซะแล้ว เวลาแห่งความสุขนี่ผ่านไปไวเหลือเกินนะคะ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่ได้เที่ยวในเกาหลีแล้ว ขอจัดเต็มพาเพื่อนๆ เที่ยว 3 ตลาดในวันเดียวเลยแล้วกัน
เช้านี้ขอเริ่มที่ “ตลาดนัมแดมุน” (Namdaemun Market) ตั้งใจว่าจะไปหาอาหารเช้ากินที่โน่น หลังจากมื้อเช้าวันที่ผ่านๆ มาเราฝากท้องที่โรงแรมตลอด ระหว่างตลาดนัมแดมุนกับเมียงดงไม่ไกลกันมากค่ะ ถ้าเพื่อนๆ อยากออกกำลังกายยามเช้าก็เดินไปได้ แต่เราขอออมแรงไว้ก่อนเลยใช้บริการรถไฟใต้ดินเหมือนเดิม
ตลาดนัมแดมุน ถือเป็นตลาดเก่าแก่ของกรุงโซลเลยทีเดียว ส้มว่าลักษณะเหมือนตลาดสดบวกสำเพ็ง เพราะว่าเป็นตลาดค้าส่งด้วย มีทั้งอาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงพร้อมทาน เครื่องครัว เสื้อผ้า แม้แต่โสมก็หาซื้อได้ที่นี่ ลูกค้าส่วนใหญ่รุ่นคุณลุงคุณป้าค่ะ แต่ส้มก็เห็นนักท่องเที่ยวมาที่นี่ค่อนข้างเยอะนะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงโซลเลยล่ะ
“ตลาดนัมแดมุน” จุดหมายของพ่อบ้าน แม่บ้าน และนักท่องเที่ยวอย่างเรา
ผัก ผลไม้ ขนม หลากหลาย
ขนมแป้งต๊อก
ซาลาเปาหอมฉุย นึ่งเสร็จใหม่ๆ
เกาหลี ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง “โสม”
อย่างที่บอกว่าส้มตั้งใจจะมากินข้าวเช้าที่นี่ แต่กลัวว่าอาหารที่ขายคุณสามีจะกินไม่ได้ (ไอ้เราน่ะกินได้ทุกอย่าง) เลยอดจ้าไม่ได้กินอะไรซักอย่าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเดินสำรวจรอบๆ ตลาดเพื่อเก็บภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆ นะคะ
จริงๆ ที่นี่มีอาหารหลากหลายให้เลือกกิน อยู่ในซอกในซอย ไม่ว่าจะเป็น ตรอกคากุ๊กซู (Kalguksu Alley / ขายก๋วยเตี๋ยว) , ตรอกกอลจิโจริม (Galchi Jorim Alley / ขายพวกแกงกิมจิใส่ปลา) และตรอกอาหารแฮจังกุ๊ก (Haejangguk / แหล่งรวมเมนูฮิตจากที่ต่างๆ)
ตรอกคากุ๊กซู
ตรอกกอลจิโจริม
อาหารที่อยู่ในตรอกอาหารแฮจังกุ๊ก
ขาหมูน่ากินอยู่นะ
แต่ส้มมาสะดุดตาที่ร้านขาย “ออมุก” หรือโอเด้งเกาหลี เห็นมีลูกค้ายืนกินอยู่หน้าร้าน เลยขอลองซัก 1 ไม้ ออมุกไม้ใหญ่ที่ทำจากเนื้อปลา กินพร้อมกับน้ำซุปร้อนๆ เหมาะกับอากาศเย็นๆ ของเช้าวันนี้ที่สุด เพื่อนๆ สามารถอร่อยได้ในราคาแค่ไม้ละ 1,000 วอนเท่านั้นนะจ๊ะ
ออมุกร้อนๆ หนึ่งไม้ ทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
กรี๊ด เจอถุงเท้ารูปสามแฝด “แทฮัน มินกุก มันเซ” แต่ไม่อยากใส่ เพราะไม่อยากเหยียบหน้าลูก
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดินสาย 4 ไปลงที่สถานี Hoehyeon ทางออก 5 GPS : 37.562169,126.971864
ตรอกคากุ๊กซู GPS : 37.558531,126.976627 , ตรอกกอลจิโจริม GPS : 37.559879,126.977115 , ตรอกอาหารแฮจังกุ๊ก GPS : 37.560594,126.977727
ตลาดร้อยปีกวางจัง แหล่งรวมอาหารพื้นเมือง
ตลาดแห่งที่สองที่ส้มจะพาไปคือ “ตลาดกวางจัง” (Gwangjang Market) เป็นตลาดที่เปิดมากว่าร้อยปีแล้ว เรียกว่าทั้งเก่าและเก๋าเลยล่ะค่ะ ใครอยากลองกินข้าวยำเกาหลี , ซุนแด (ไส้กรอกเลือด) , แพนเค้กถั่วทอด , คิมบับ หรือซื้อกิมจิ ต้องมาที่นี่ให้ได้ เพราะตลาดแห่งนี้มีอาหารเกาหลีแท้ๆ ให้คุณได้ลองกินเพียบเลย
แต่ก็อีกนั่นแหละค่ะ ไม่รู้จะเลือกกินอะไรเพราะกลัวคุณสามีไม่ชอบ เลยทำได้แต่มองและเดินสำรวจรอบๆ ตลาดต่อไป บรรยากาศนี่ชาวบ้านแท้ๆ เลยค่ะ ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น สมแล้วที่เป็นตลาดเก่าแก่ของเกาหลี ถึงจะไม่ได้กินอะไรเลยแต่ก็มีความสุขกับการได้มองโน่นมองนี่ มีของกินแปลกๆ ให้เดินถ่ายรูปเพลินๆ (555)
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 ไปลงที่สถานี Jongno 5-ga ทางออก 8 (ใกล้ประตูใหญ่ของตลาดที่สุด) GPS: 37.570388,127.001447
คึกคักยามเช้า
เลือกร้านได้ตามต้องการเลย
ข้าวยำเกาหลี ผักเยอะดีจัง
ทั้งคาวทั้งหวาน
น้ำข้าว
กิมจิสารพัดอย่าง
โสมสดๆ ก็มีขาย
ช้อปกระจายที่ LOTTE Mart
มัวแต่เดินเล่นในตลาดมองนาฬิกาอีกทีเวลาล่วงเลยไป 11 โมงกว่าแล้ว แต่เรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากออมุก 1 ไม้ สุดท้ายเราก็ได้กินมื้อเช้าพ่วงเที่ยงกันซะที ร้านที่เลือกมีชื่อว่า “BENNIGAN’S” ตั้งอยู่ใกล้กับ LOTTE Mart จุดมุ่งหมายต่อไปของเราในวันนี้ค่ะ
ร้าน BENNIGAN’S ขายอาหารฝรั่ง เช่น เบอร์เกอร์ สปาเก็ตตี้ ฯลฯ ราคาไม่แพงมาก รสชาติดี บรรยากาศเยี่ยม บริการใช้ได้ ถ้าเบื่ออาหารเกาหลีก็ลองมาอุดหนุดร้านนี้ดูนะคะ
กินข้าวที่ร้าน BENNIGAN’S
ระหว่างรอจานหลัก
สลัดทาโก้ อร่อย เพื่อสุขภาพที่ดี
ข้าวผัดกิมจิใส่ไก่ บนกระทะร้อน
รวมๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาช้อปปิ้งแล้วล่ะ ส้มจะพาไปซื้อขนมและของฝากที่ “LOTTE Mart” กันค่ะ จริงๆ มีหลายสาขานะคะ แต่ส้มเลือกไปสาขาที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟ Seoul Station เพราะเดินทางง่ายและอยู่ใจกลางเมือง
คนที่กระเป๋าใบใหญ่หรือมีสัมภาระที่ถือมาด้วยเยอะแยะ ก่อนเข้าไปช้อปก็สามารถฝากกระเป๋าที่ล็อกเกอร์ด้านหน้าได้นะคะ แต่ส้มกระเป๋าใบนิดเดียวเลยไม่ฝากให้เสียเวลา ถือไปด้วยกันนี่แหละ… การมาซื้อของที่นี่มีข้อดีอย่างนึงคือ มีกล่องเปล่าให้ลูกค้าใช้สำหรับแพ็คของแบบไม่คิดเงิน (ไม่มีถุงพลาสติกให้บริการนะจ๊ะ) และคนที่ซื้อของเยอะมากแต่ไม่สะดวกนำกลับเอง LOTTE Mart ก็มีบริการขนส่งสินค้ากลับมาที่เมืองไทยด้วยล่ะ ส่วนรถเข็นหากต้องการใช้ต้องหยอดเหรียญ 100 วอนเพื่อเป็นการปลดล็อกรถเข็นก่อน พอเราเอารถมาจอดคืนในจุดที่เค้าระบุ เงินนี้จะเด้งคืนมาให้เราค่ะ (ไฮโซเนอะ)
LOTTE Mart ให้อารมณ์เหมือนโลตัสบ้านเราแหละค่ะ แต่ส้มว่าเล็กและของน้อยกว่านะ แต่อีชั้นก็ยังอุตส่าห์ได้มาม่าแพ็คใหญ่ และขนมอีก 2-3 อย่าง เรียกว่าช้อปเป็นพิธี ช่วยกระจายรายได้ให้เกาหลีบ้าง (^___^)
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสาย 4 ไปลงที่สถานี Seoul Station ทางออกที่ 1 จะเห็นป้ายบอกทางไป LOTTE Mart ให้เดินไปตามที่ป้ายเลยจ้า
ถึงแล้ว LOTTE Mart สาขา Seoul Station
ล็อกเกอร์เก็บของ
เดินดูไปเรื่อยๆ เพลินดี
หลังชำระเงินแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการแพ็คสินค้าลงกล่อง (หน้าตาตั้งใจมาก)
ตลาดเมียงดงอีกรอบ ได้เวลาเลือกเครื่องสำอางแล้วสิ
และแล้วก็กลับมาตายรังที่ “ตลาดเมียงดง” (Myeongdong Market) อีกจนได้ เดินเล่นมาหลายวันแต่ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือซักที วันนี้แหละเราจะบุกทลายเมียงดงให้สิ้นซาก (เวอร์จริง) บอกเลยว่าสาวๆ ที่รักสวยรักงาม อย่างเรา(หรา) มีร้อยหมดหมื่น มีหมื่นหมดแสน ก็อะไรซะอีกล่ะค่ะ เครื่องสำอางละลานตาขนาดนี้ ใครจะไปอดใจไหว
จากการที่ส้มได้ซื้อเครื่องสำอางหลายๆ ยี่ห้อก็ขอสรุปว่าทุกอย่างถูกกว่าเมืองไทยจริงๆ ค่ะ หลายอย่างถูกกว่า 2-3 เท่าเลย แถมมีโปรโมชั่น ลด แจก แถมให้อีก ผ่านไปสามชั่วโมง ทั้งมือดิฉันและสามีเต็มไปด้วยถุงเครื่องสำอาง เกิดเป็นผู้หญิง อย่าหยุดสวยจริงมั้ยคะ (สามีดีใจ ไม่มีบ่น น่ารักอ่ะ)
ตลาดเมียงดง ไม่มีเงียบเหงา
ร้านเครื่องสำอางเยอะมาก
นี่คือภาพบางส่วนของเครื่องสำอาง ที่อดใจไม่ได้ต้องซื้อมา
แวะกินขนม (2,000 วอน)
ไปเดินเล่นที่ห้าง Lotte Young
ชอบศิลปินวงไหนก็ช้อปของที่ระลึกได้เลยนะจ๊ะ
จุดหมายของเราคือ Line Shop
ถ่ายรูปไม่แคร์สื่อ
สามีอยากได้ แต่ราคาโหดร้ายมาก
อยากได้ทุกอย่าง แต่ราคาสู้ไม่ไหว
สุดท้ายได้ตุ๊กตา 3 ตัวนี้ (15,000 วอน)
ช้อปปิ้งจนเหนื่อยก็ได้เวลามื้อเย็น เราเลยจัดปิ้งย่างอีกรอบหวังแก้แค้นที่มื้อแรกมันไม่อร่อย แต่ก็เจ็บใจเพราะมันไม่อร่อยเช่นกัน (ร้องไห้หนักมาก) ขอกลับมากินอาหารเกาหลีที่ร้านดูเรในเมืองไทยเหมือนเดิมดีที่สุด (ร้านนี้ไม่อร่อย ส้มขอไม่บอกพิกัดแล้วกันนะคะ เอาแค่รูปมาให้ชมก็พอเนอะ)
ปิ้งย่างมื้อสุดท้ายของทริปเกาหลี
เนื้อวัว ดูรูปเหมือนจะอร่อย แต่จริงๆ แล้ว ฮือออ
เพราะความงก เราเลยต้องกินให้หมด แม้ไม่อร่อยก็ตาม
กินเสร็จก็เดินเล่น และหาขนมกินต่อในเมียงดงอีกรอบ (ไม่มีเบื่อ)
ร้านนี้สามีรีเควส แต่พอกินแล้วบอกว่าร้าน softree ที่ emquartier อร่อยกว่า
ออมุกแบบเผ็ด อร่อยมาก
มีน้ำส้ม & น้ำเลม่อน คั้นสดๆ ที่ร้าน 7/11
*************************************************************************************************************************************
Day 5 : ได้เวลากลับ Thailand & ขั้นตอนการขอคืนภาษี
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม เราต้องเดินทางกลับประเทศไทยด้วยสายการบิน AirAsia X เที่ยวบินที่ XJ 701 (11.15-14.50 น.) เลยไม่มีเวลาแวะเที่ยวที่ไหน แอบเสียดายเบาๆ แต่ก็ยอมเพราะค่าตั๋วมันถูก เวลากลับเช้าหน่อยต้องทำใจอ่ะนะ
ส้มเดินทางกลับสนามบินอินชอน (Incheon Airport) โดยไปยืนรอรถ Airport Limousine Bus Stop ที่ป้าย Euljiro 1(il)ga เพื่อขึ้นรถบัส สาย 6015 รอประมาณ 30 นาทีรถก็มาถึง เราใช้เวลาเดินทางไปสนามบินประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ (เพื่อนๆ ควรเผื่อเวลาเยอะหน่อยนะคะ เพราะการเดินทางด้วยรถจะถึงจุดหมายไม่แน่นอน หากเจอรถติดก็อาจสายได้ อย่างส้มออกจากโรงแรมมารอรถตั้งแต่ 6 โมงครึ่งเลยค่ะ)
มารอขึ้นรถ Airport Limousine Bus ที่ป้ายนี้เลยค่ะ
พอถึงสนามบินอินชอนก็ไลน์หาเจ้าหน้าที่ของ Easy Korea Wifi เพื่อนัดคืนเครื่อง wifi และบัตร T-Money หลังจากนั้นก็ไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน AirAsia X ให้เรียบร้อยค่ะ
ปล. 2 สำหรับวันเดินทางกลับ อยากให้มาถึงสนามบินก่อนเวลาขึ้นเครื่องซัก 2-3 ชั่วโมงนะคะ เพราะนอกจากเราต้องไปเช็คอินแล้ว อาจต้องไปทำเรื่องขอคืนภาษี (Tax Refund) ขั้นตอนนี้แหละค่ะที่ใช้เวลานาน เพราะนักท่องเที่ยวทุกคน ทุกชาติ ทุกสายการบินจะมารวมกันอยู่ ณ จุดนี้
ขั้นตอนการขอคืนภาษี (Tax Refund)
1) เมื่อซื้อสินค้าในร้านที่มีสัญลักษณ์ด้านล่างนี้ ตั้งแต่ 30,000 วอนขึ้นไป แปลว่าสามารถขอคืนภาษีได้ ให้เราแจ้งพนักงานของร้านค้าว่าต้องการขอคืนภาษี ทางร้านจะให้ใบเสร็จพร้อมเอกสารขอคืนภาษีมาให้เรากรอกข้อมูล เช่น ชื่อ-สกุล , ที่อยู่ , สัญชาติ และเลขพาสปอร์ต เป็นต้น
2) ก่อนวันเดินทางกลับเราต้องกรอกเอกสารขอคืนภาษีทุกใบให้เรียบร้อย และแยกตามบริษัทที่จะขอคืนภาษีด้วย เพราะบริษัทที่เราต้องขอคืนภาษีอาจมีมากกว่า 1 แห่ง (อย่าไปกรอกที่สนามบินเพราะจะเสียเวลามากๆ)
3) สินค้าทุกอย่างที่ต้องขอคืนภาษีให้แยกกระเป๋าไว้ตังหาก หรือถ้ามีกระเป๋าเดียวให้เอาสินค้าพวกนั้นวางไว้บนๆ เพราะเราต้องนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรเพื่อประทับตรา (ขอเรียกว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรแล้วกันนะคะ จริงๆ ไม่รู้เรียกว่าอะไร 555 / ตอนส้มนำไปประทับตรา เจ้าหน้าไม่ได้ขอให้เปิดกระเป๋าดูสินค้าค่ะ อาจจะสุ่มตรวจบางคนเท่านั้น)
4) เมื่อถึงสนามบินให้ไปเช็คอินกับสายการบินก่อน แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินว่ากระเป๋าเดินทางใบไหนของเรามีสินค้าที่ต้องขอคืนภาษี เจ้าหน้าที่จะได้ติดแท็กกระเป๋าให้เรา และโหลดเฉพาะกระเป๋าที่ไม่มีสินค้าขอคืนภาษี จากนั้นเค้าจะส่งกระเป๋าที่มีสินค้าขอคืนภาษีมาให้เรานำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรเกาหลีก่อน
5) นำกระเป๋าที่มีสินค้าขอคืนภาษีพร้อมใบขอคืนภาษี , ใบเสร็จสินค้าและเล่มพาสปอร์ต มาต่อแถวให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจและประทับตรา (หากใบขอคืนภาษีไม่มีตราประทับจากเจ้าหน้าที่บริเวณนี้ จะไม่สามารถขอคืนภาษีได้นะคะ)
6) เมื่อประทับตราเสร็จเรียบร้อย ก็นำกระเป๋าไปโหลดขึ้นเครื่องได้ที่เคาน์เตอร์ข้างๆ กับที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ประทับตรา
7) จากนั้นให้เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามปกติ พอเข้ามาด้านในแล้วให้นำเอกสารขอคืนภาษีทั้งหมด พร้อมเล่มพาสปอร์ตไปยื่นที่เคาน์เตอร์บริษัทต่างๆ ตามสัญลักษณ์ในใบเสร็จเพื่อขอรับเงินคืน
– Tax Refund ของ Global Blue Tax Free (สีฟ้า) และ Global Tax Free (สีส้ม) เคาน์เตอร์อยู่บริเวณ Duty Free Area ชั้น 3 Gate 28
– Tax Refund machines (ตู้อัตโนมัติสำหรับขอคืนภาษี) อยู่บริเวณ Duty Free Area ชั้น 3 Gate 27 หากต้องขอคืนภาษีของบริษัท Cube Refund , Easy Tax Refund , EASY TAX FREE ฯลฯ สามารถมาสแกนใบขอคืนภาษีเพื่อรับเงินสดได้ที่ตู้อัตโนมัตินี้ได้เลยจ้า
ปล.3 ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปขั้นตอนการขอคืนภาษีเลย คือมันค่อนข้างรีบเร่ง วุ่นวายจนไม่มีเวลาถ่ายรูปอ่ะค่ะ (T_T)
สัญลักษณ์บริษัทที่สามารถขอ Tax Refund ได้ (บางส่วน) จะเห็นได้ที่หน้าร้านหรือเคาน์เตอร์ชำระเงิน
ขั้นตอน Tax Refund ของประเทศเกาหลีใต้
เอกสารขอคืนภาษีของGlobal Tax Free (สีส้ม)
หน้าตา Tax Refund machines (ตู้อัตโนมัติสำหรับขอคืนภาษี) ในสนามบินอินชอน (ขอบคุณภาพจาก paperblog.com)
สำหรับทริปสั้นๆ นี้ สร้างความทรงจำที่ดีให้ส้มจริงๆ การเดินทางตลอด 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน บรรยากาศของประเทศเกาหลีและนิสัยของคนที่นี่ ทำให้ส้มอดยิ้มไม่ได้ ผู้คนยังคงมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันเสมอ สิ่งที่ส้มเห็นบ่อยที่สุดคือทุกคนพร้อมใจกันช่วยเหลือและสละที่นั่งตัวเองให้ผู้สูงอายุ ซึ่งภาพเหล่านี้แทบเลือนรางไปจากสังคมไทยแล้ว ขอบคุณทุกอย่างของประเทศนี้ ที่ทำให้ส้มมีประสบการณ์ที่ดีอีกทริปหนึ่ง หากโชคดีหวังว่าจะมีโอกาสได้กลับไปท่องเที่ยว “เกาหลีใต้” อีกครั้งนะคะ…. “ซารางเฮโย Korea”
ลิ๊งค์ Part 1 https://www.i-som.com/?p=3636
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand