“Lost in Japan” ชวนไปหลง(เสน่ห์)โอซาก้า-เกียวโต (Part 2)
สัญญาต้องเป็นสัญญา สัญญาว่ามาต้องมา มาแล้วจ้า… มาพาทุกคนไปตะลอนเที่ยวเกียวโต โอซาก้ากันต่อ ทริปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ตลอด 5 วัน 4 คืนในญี่ปุ่นยังมีที่สถานที่อีกมากมายรอให้เราไปสัมผัส Part 2 นี้ส้มจะพาทุกคนไปชมความงามของป่าไผ่ นั่งรถไฟสายโรแมนติก กินปูและซูชิชื่อดัง รวมทั้งการแช่ออนเซ็นในแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ ใครพร้อมแล้วแพ็คกระเป๋าตามส้มมาเลยจ้า
วันที่ 3 : เยือนอาราชิยามา-พาไปกินเมนูปูยักษ์
ชมตลาดนิชิกิยามเช้า
เริ่มต้นวันที่ 3 ของการอยู่ในประเทศญี่ปุ่น สถานที่ที่ส้มวางแผนไปทุกครั้งที่เดินทางเที่ยวด้วยตัวเองทั้งไทยและต่างประเทศ คือ “ตลาด” ส้มชอบบรรยากาศยามเช้าในตลาด เพราะมันดูมีชีวิตชีวา ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน ได้เรียนรู้วัฒนธรรมจากอาหาร และที่สำคัญคือได้ดูว่าเค้าซื้ออะไร ขายอะไร แล้วเราจะกินอะไรดี (เกือบจบสวยแล้วถ้าไม่มีประโยคหลังสุด อิอิ)
“ตลาดนิชิกิ” (Nishiki Market) จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้(สำหรับส้ม) การเดินทางเริ่มจากสถานี Shin-Osaka อีกครั้ง เรานั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Karasuma แล้วก็ตามเคยค่ะ เดาเอาว่าต้องออกประตูไหน ดูอันที่มันมีคำว่า Nishiki ไว้ก่อน พอออกมาจากสถานีก็ตั้ง GPS แล้วเดินตามทางไปโลด (ไม่ชอบสถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นตรงนี้แหละ ไม่ค่อยมีป้ายบอกทางออกของที่เที่ยวชื่อดังเลย อย่าง BTS ของไทยยังมีบอกเลยว่าไปห้างนี้ ตึกนี้ วัดนี้ สวนนี้ ให้ออกประตูไหนเลย)
ส้มเดินทางไปตลาดนิชิกิตามเส้นทางนี้เลยค่ะ
ตลาดนิชิกิมีพื้นที่ไม่กว้างนัก ตอนที่ส้มมาถึงร้านค้าเพิ่งทยอยเปิด สินค้าที่ขายดีและมีหลายเจ้าที่สุดในตลาดนี้คงเป็น “ผักดอง” ท่าทางคนญี่ปุ่นจะชอบทานผักดองมาก เพราะเห็นผักหลากชนิดถูกนำมาดองด้วยวิธีการแตกต่างกันไป เห็นแล้วอยากซื้อกลับไทยเลยล่ะ
เนื่องจากร้านส่วนใหญ่เป็นร้านค้าที่ต้องซื้อกลับ ไม่ค่อยมีร้านอาหารให้เรานั่งทานเลย เดินไปเรื่อยๆ อาหารเช้ามื้อนี้เลยมาจบลงที่ แม็คโดนัล ซะอย่างงั้น เฮ้อ ทริปนี้ได้ทานน้อยมากเพราะมัวแต่เดินและมองแผนที่ ในทุกๆ วันต้องมีช่วงที่มัวแต่เดินจนเลยเวลาทานข้าวไปหลายชั่วโมง เศร้าใจ (T_T)
กินอิ่ม ก็ได้เวลาสู้ต่อ (แหม! ทำอย่างกับจะขึ้นสังเวียนชก) สถานที่ที่เรากำลังจะไปเยือนต่อจากนี้ คือแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในเกียวโตอีกหนึ่งแห่ง นั่นคือ “อาราชิยาม่า” ใครอยากไปนั่งรถไฟสายโรแมนติก หรือชมป่าไผ่ ต้องตามส้มมาอย่างด่วนเลยจ้า
มาถึงแล้วตลาดนิชิกิ
ร้านผักดองมีเป็นสิบร้านเลย
ผักสดก็น่าสนใจ
อาหารคาวก็น่าลอง
ละลานตาไปหมด นี่ขนาดร้านยังเปิดไม่ครบนะคะ
แวะซื้อปลาดิบเสียบไม้ที่ร้านคุณลุงหน้าตาใจดีคนนี้ค่ะ
ซูมๆ
รถไฟสายโรแมนติก (Sagano Romantic Train)
สำหรับการเดินทางอาจยุ่งยากหน่อย เพราะต้องนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Karasuma และต่อรถไฟอีก 2 สถานี เพื่อไปขึ้นรถไฟ Randen แล้วลงที่สถานี Randen-Saga จากนั้นก็เดินต่อไปสถานี Saga Arashiyama ซึ่งอยู่อาคารเดียวกับสถานี JR Saga-Arashiyama Station (แค่อธิบายยังเหนื่อย 555)
ตอนที่นั่งรถไฟ Randen ขอบอกว่าชอบมากเลยค่ะ มันรู้สึกถึงความเป็นชนบท ความเก่าแก่ ความเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ระหว่างทางจะเห็นบ้านเรือน ทุ่งหญ้า วัดวาอาราม แค่ได้มองก็มีความสุขแล้วล่ะ สิ่งเหล่านี้อาจหาไม่ได้จากการมาเที่ยวกับทัวร์ นี่ล่ะค่ะเสน่ห์ของการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง (คนที่มีบัตร Kansai True Pass สามารถขึ้นรถไฟ Randen ได้ฟรีนะคะ)
จากตลาดนิชิกิ สู่อาราชิยาม่า
ชานชาลาของรถไฟ Randen คลาสสิกสุดๆ ชอบมาก
รถไฟมาแล้วค่ะ โบกี้จะสั้น ให้เดินขึ้นที่ประตูด้านหลัง และลงที่ประตูด้านหน้านะคะ
ภายในรถให้บรรยากาศญี่ปุ่นสุดๆ
เมื่อลงที่สถานี Saga Arashiyama ก็เดินตรงไปตามทางที่ลูกศรชี้ ไกลๆ นั่นคือสถานีรถไฟสายโรแมนติกค่ะ
จุดขายตั๋วรถไฟสายโรแมนติกอยู่อาคารเดียวกับสถานี JR Saga-Arashiyama Station
“รถไฟสายโรแมนติก” (Sagano Romantic Train) ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง หากมาช่วงพีคๆ ส้มแนะนำให้เพื่อนๆ จองตั๋วล่วงหน้าจากอินเตอร์เน็ตก่อนนะคะ เพราะที่นั่งเต็มเร็วมาก สำหรับโบกี้ที่แนะนำ คือ โบกี้ที่ 5 เพราะมันเปิดโล่ง ใครไม่กลัวหนาวและอยากเห็นธรรมชาติแบบเน้นๆ ต้องลอง
ช่วงที่ส้มไปยังไม่ใช่ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีมากเท่าไหร่ เลยไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้า แต่รถไฟขบวนต่างๆ ก็เต็มเร็วใช่ย่อย ตอนส้มไปถึงรอบที่กำลังจะออกเดินทางก็ถูกจองหมดแล้ว เหลือแต่แบบยืน (ที่จ่ายเท่าแบบนั่ง) ส้มจึงตัดสินใจซื้อตั๋วรอบถัดไปดีกว่า สำหรับค่าโดยสารมี 2 ประเภทคือ แบบเที่ยวเดียวและไปกลับ ส้มเลือกแบบไปกลับ ราคา 1,240 เยน จริงๆ อยากนั่งกลับทางเรือพายมากกว่าแต่สู้ราคาไม่ไหว (เสียดายตังค์)
ตารางเวลาของรถไฟสายโรแมนติก (ขอบคุณภาพจาก www.tiewyeepoon.com)
เห็นตึกสีน้ำตาลนี้แปลว่ามาไม่ผิดที่แน่ๆ
เข้ามาด้านในอาคารเพื่อซื้อตั๋วรถไฟกันดีกว่า
ราคาและเวลาแต่ละเที่ยวของการนั่งรถไฟสายโรแมนติก
ตั๋วข้างบนสำหรับขาไป / ตั๋วข้างล่างสำหรับขากลับ
คนที่สนใจกลับโดยนั่งเรือให้ซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์นี้
ภายในอาคารมีร้านของที่ระลึก และร้านอาหารด้วย
ระหว่างรอก็เลยออกมาเดินชมรถไฟเก่าแก่ซะหน่อย
ร้านค้าแถวสถานีรถไฟก็มีเยอะอยู่ ส้มมาหยุดที่ร้านขายอาหารกับปลาย่าง
เป็นปลาที่มีแต่ไข่ทั้งตัว เต็มปากเต็มคำจริงๆ
ตอนที่ซื้อตั๋วส้มไม่ได้เลือกโบกี้เองนะคะ เจ้าหน้าที่เค้าเลือกให้ ขาไปได้โบกี้ที่ 4 ส่วนขากลับได้โบกี้ที่ 5 กรี๊ดมาก ไม่คิดว่าจะได้ (สงสัยคนจองยังน้อยอยู่) หน้าตั๋วจะมีระบุว่าเป็นขาไปหรือขากลับ พอเข้ามาในชานชาลาก็ยืนรอตามล็อกที่ระบุเลขโบกี้ที่เราจะนั่ง เมื่อรถไฟเคลื่อนเข้ามาเท่านั้นแหละ แต่ละคนอยู่นิ่งไม่ได้แล้ว ยกกล้อง ยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพกันเป็นระวิง
รถไฟสายโรแมนติกใช้เวลาจากสถานี Saga Torokko ถึงสถานี Kameoka Torokko ประมาณ 25 นาที ตลอดเส้นทางเราจะพบกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ ลำธาร มันสวยอย่างกับเป็นภาพวาดเลยค่ะ สมแล้วที่เค้าเรียกว่า “รถไฟสายโรแมนติก”
แวะหยิบแผนที่และคู่มือเที่ยวภาษาไทยก่อน
ยืนรอให้ตรงกับแถวที่ระบุในตั๋วโดยสาร
ปฏิกิริยาของทุกคนเมื่อรถไฟเทียบชานชาลา
หน้าตาของโบกี้ที่ 4 จะเหมือนกับโบกี้ที่ 1-3
ส่วนนี่คือโบกี้ที่ 5 ได้สัมผัสธรรมชาติแบบเต็มๆ
นั่งให้ตรงที่ที่จองไว้นะคะ (ป้ายสีขาวคือเลขที่นั่ง)
นายสถานีมาโบกมือให้ผู้โดยสารด้วย น่ารักจัง
ภาพวิวทิวทัศน์ระหว่างนั่งรถไฟสายโรแมนติก
ทุกคนดูมีความสุขมากๆ กับการเดินทางในครั้งนี้
สีเสื้อตัดกับสีเก้าอี้ได้อีก 555
ป่าไผ่ (Sagano Bamboo Forest)
หากเราได้อ่านรีวิวท่องเที่ยวในญี่ปุ่น สถานที่แห่งหนึ่งที่ทำให้เราสะดุดตาคือภาพเส้นทางเดินที่สองข้างทางคือต้นไผ่สีเขียวเข้มนับพันต้น ยิ่งเวลาแสงแดดสาดส่องเข้ามามันชั่งเป็นภาพที่อยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง สถานที่ที่ส้มพูดถึงอยู่นี้คือ “Sagano Bamboo Forest” หรือป่าไผ่ ที่อาราชิยาม่านั่นเองค่ะ
ป่าไผ่อยู่ไม่ไกลจากสถานี Saga Arashiyama มากนัก พอส้มนั่งรถไฟสายโรแมนติกกลับมา ก็เดินไปตามเส้นทางในแผนที่ (เค้าทำภาษาไทยให้ด้วยนะ) แต่โชคไม่ดีเพราะช่วงที่ส้มไปดันเป็นตอนที่ฝนเพิ่งหยุดตก ทำให้ด้านในป่าไผ่ดูอึมครึม ไม่สดใสเหมือนภาพที่เห็นจากอินเตอร์เน็ตเท่าไหร่ (ร้องไห้แป๊บ)
ปล.1 หากไม่ได้นั่งกลับมาสุดสายที่สถานี Saga Arashiyama ก็สามารถลงที่สถานี Arashiyama Torokko ได้ เพราะจุดนั้นติดกับป่าไผ่เลยค่ะ
ระหว่างทางไปป่าไผ่ก็ชมบ้านเรือนไปเรื่อย เพลินดีนะ
ใครสนใจขี่จักรยานที่นี่ก็มีให้บริการหลายร้านค่ะ
ป่าไผ่ในวันเมฆครึ้ม
เมื่อเดินเข้าไปในป่าไผ่เรื่อยๆ จะเจอ “ศาลเจ้าโนโนมิยะ” (Nonomiya-jinja) เค้าว่าผู้คนที่อยากสมหวังเรื่องความรักมักจะมาขอพรที่นี่ แต่ส้มไม่ได้ขอหรอกค่ะ แค่เข้าไปถ่ายรูปเฉยๆ แม้จะเป็นศาลเจ้าเล็กๆ แต่บรรยากาศสุดยอดอย่างยิ่ง
หากเดินต่อจากศาลเจ้าไปซักพัก จะเจอทางเข้าวัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji Temple) ซึ่งเป็นทางเข้าอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากประตูหลักด้านหน้าถนนใหญ่ (ส้มเข้าประตูที่ติดถนนใหญ่ค่ะ)
ประตูทางเข้าศาลเจ้าโนโนมิยะ
ภายในศาลเจ้าร่มรื่นมาก
เดินป่าไผ่เสร็จก็ออกมาเดินตรงถนนใหญ่ สองข้างทางมีร้านอาหารและของที่ระลึกเยอะมาก
“Yojiya” คือร้านขายเครื่องสำอางเก่าแก่ที่มีเสียงและคุณภาพดี ส้มเสียทรัพย์ให้ที่นี่ไปเยอะเลย อิอิ
วัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji Temple)
เมื่อถึงอาราชิยาม่าต้องมาวัดเท็นริวจิให้ได้นะคะ และยังต้องให้เวลากับมันเยอะๆ ด้วย เพราะวัดมีพื้นที่กว้างขวางและบรรยากาศเลิศมว๊ากกกก สวยตั้งแต่ประตูทางเข้า ทางเดิน สถาปัตยกรรม แต่สิ่งที่ส้มประทับใจอย่างมากคือสวนค่ะ เค้าตกแต่งได้งดงามอลังการจริงๆ ต้นไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสี สายน้ำใสแจ๋ว บวกกับอากาศเย็นๆ แบบว่าลงตัวที่สุด จนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ สำหรับค่าเข้าชมคนละ 500 เยน ถือว่าคุ้มค่ามากค่ะ
สวยตั้งแต่ทางเข้า ยกให้เป็นวัดที่สวยอลังการมาก
สถาปัตยกรรมก็งดงามไม่แพ้ใคร
ไฮไลน์ของวัดเทนริวจิคือสวนที่สวยจนต้องร้อง “ว้าว!!!” (ุถ่ายรูปมาไม่สวยเท่าที่ตาเห็น)
แค่นั่งมองภาพธรรมชาติตรงหน้าก็มีความสุขแล้ว
กว่าจะออกมาจากวัดเท็นริวจิได้ก็เริ่มจะมืดแล้วล่ะค่ะ ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เราเดินกันเยอะจนเริ่มเจ็บ แต่ก็จำเป็นต้องเดินต่อค่ะ เพราะเราต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี Hankyu Arashiyama Station ระหว่างทางผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโฮสุ บริเวณนั้นมีผู้คนยืนถ่ายภาพ ชมวิวยามเย็น พอได้มองธรรมชาติตรงหน้าก็รู้สึกสดชื่นและหายเหนื่อยไปเยอะเลย
เรานั่งรถไฟจากสถานี Hankyu Arashiyama Station เปลี่ยนสายโน่นนี่จนมาจบที่สถานี Namba แม้จะเหนื่อย เมื่อยแค่ไหน แต่ภารกิจเรายังไม่จบเพราะดินเนอร์คืนนี้เรามีนัดกินปูกันที่ร้าน Kani Doraku ค่ะ
สะพานข้ามแม่น้ำโฮสุยามเย็น ทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น
ถึงซักทีนะ Hankyu Arashiyama Station
แวะทานทาโกะยากิ
เมื่อมาถึง Dotonburi ก็รีบปรี่เข้าไปจองคิวเพื่อกินเมนูปูร้านขึ้นชื่อที่ไม่ว่าใครก็ต้องจำร้านนี้ได้จากสัญลักษณ์ของร้านคือรูปปั้นปูยักษ์ที่ประดับอยู่หน้าร้านทุกสาขา นอกจากทำให้เหล่านักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปคู่แล้ว ยังเรียกความอยากอาหารได้ไม่น้อยเลย ส้มไม่รู้จะได้กลับมาญี่ปุ่นอีกเมื่อไหร่ ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว ขอดินเนอร์เมนูปูสุดหรูซักมื้อแล้วกัน
เราเลือกทานกันที่สาขา Dotonburi แต่เนื่องจากไม่ได้จองไว้ล่วงหน้าจึงต้องรอประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะแถวนั้นมีร้านให้เดินเล่น และหาอะไรรองท้องไปพลางๆ ก่อนได้ เราเลยรีบเข้าไปต่อคิวซื้อทาโกะยากิร้านที่มีรูปปั้นปลาหมึกตัวโตอยู่หน้าร้าน ส้มซื้อแบบออริจินัลไส้ปลาหมึก ราคา 8 ลูก 550 เยน ปกติไม่ชอบกินทาโกะเพราะมันเลี่ยน แต่เค้าว่ากันว่าทาโกะของโอซาก้าอร่อยเด็ดดวงกว่าที่อื่น งั้นต้องลองซักครั้ง ยิ่งทำสดๆ ให้เห็นหน้าร้านความน่ากินยิ่งทวีคูณ
ทาโกะลูกโตๆ ชุ่มไปด้วยซอส โรยปลาแห้ง และสาหร่าย พอกัดคำแรก โอ้ว!!! ลวกปากจ้า นี่อุตส่าห์ระวังแล้วนะ คือมันร้อนจริงจังมาก แต่ไอ้ความที่มันร้อนจัดนี่แหละค่ะ มันถึงอร่อย แป้งนุ่ม ปลาหมึกชิ้นโต ซอสหวานๆ บวกกับปลาแห้งเค็มๆ อร่อยลงตัว มาถึงแหล่งทาโกะทั้งทีต้องลองนะคะเพื่อนๆ
ปลาหมึกมันหลอกล่อให้เราเข้าหา
ระหว่างต่อคิวก็มองเค้าทำ น่ากินโฮก
และแล้วก็ได้กินทาโกะแบบโอซาก้าขอบอกว่าอร่อยจริง มันเข้มข้น นุ่ม หวาน แบบที่ขายในไทยหลบไปเลย
ร้าน Kani Doraku Dotonbori Honten
30 นาทีผ่านไป ก็ถึงเวลาดินเนอร์เมนูปูตามที่ตั้งใจไว้แล้วค่ะ พนักงานจะพาเราขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 2 (หรือชั้น 3 นี่แหละ) จากนั้นต้องถอดรองเท้าเก็บไว้ที่ล็อกเกอร์ พนักงานเสิร์ฟที่แต่งชุดกิโมโนจะเข้ามาต้อนรับและเชิญไปนั่งที่โต๊ะค่ะ
การตกแต่งร้านดูโปร่งทำให้ไม่อึดอัด แถมหน้าต่างเป็นกระจก เมื่อมองออกไปก็จะพบความคึกคักของถนน Dotonburi ยามค่ำคืน นั่งดูวิวเพลินไปเลยล่ะค่ะ สำหรับพนักงานที่มาต้อนรับก็พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการสั่งอาหารนะคะ เพราะร้านนี้คงมีลูกค้าชาวไทยมาใช้บริการเยอะเลยมีเมนูภาษาไทยในไอแพดไว้ให้บริการลูกค้าชาวไทยด้วย ประทับใจสุดๆ
ปูยักษ์แบบนี้ไม่ผิดร้าน ชัวร์!!!
บรรยากาศในร้าน
เมนูภาษาญี่ปุ่น
เมนูภาษาไทยในไอแพด
อาหารมีหลายรูปแบบ แต่ทุกแบบล้วนแล้วทำมาจากปู (ก็ใช่อะสิ มาร้านขายปูเนอะ 555) ตอนแรกส้มอยากกินเมนูชาบูปู เพราะราคาไม่แพงมาก แถมมีผักกับน้ำซุปร้อนๆ ให้ซด แต่คุณสามีบอกว่าชาบูมันธรรมดาเกิ๊น กินที่ไทยก็ได้ มาถึงถิ่นทั้งทีให้จัดคอร์สปูแบบจัดเต็มไปเลย อ่ะ! ตามใจคุณเค้าหน่อย เค้าตามใจเรามาเยอะแล้ว (555)
คอร์สที่สั่งมีชื่อว่า “Keisen (we win)” ราคา 7,236 เยน (รวม Vat) หากมา 2 คนสามารถสั่งแค่ชุดเดียวได้นะคะ (เค้าไม่บังคับให้สั่งคนละชุดแต่อย่างใด) ในคอร์สประกอบไปด้วยอาหาร 6 อย่างและผลไม้อีก 1 จาน แต่ละจานตกแต่งได้สวยงามตามแบบฉบับญี่ปุ่น ปริมาณไม่ได้มากนัก แต่เห็นถึงความพิถีพิถันในการปรุง และวัตถุดิบที่สดใหม่
เมนู Keisen (we win) ที่เรากินในวันนี้
ด้วยความเลี่ยน (เพราะไม่ได้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู๊ดไป) บวกความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน ทำให้อิ่มเร็วมาก เมนูสุดท้ายเกี่ยงกันกินเลย ถามว่าอร่อยมั้ยความคิดส้มรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่ค่อยถูกปากกับรสจืดๆ เท่าไหร่ ถ้าพูดในมุมของประสบการณ์ก็น่าไปลองดูนะคะ ที่ไทยไม่ได้มีให้กินแบบนี้ แต่ถามว่าจะไปกินอีกรอบมั้ย บอกตรงนี้เลยว่า “ไม่” (แต่ถ้าไปกินเมนูชาบูนี่ยอมกลับไปอีกอ่ะ มันน่ากินมาก)
เครื่องดื่มเอาไปกินคู่เมนูปู ^_^
มาดูหน้าตาอาหารที่เราสั่งกันค่ะ เริ่มที่จานแรกน่าจะเป็นปูนึ่ง
จานที่สองเป็นซาชิมิก้ามปู สดและหวานมาก อยากได้น้ำจิ้มซีฟู๊ดสุดๆ
จานที่สาม “ไข่ตุ๋นปู” นี่คือ Basic is the best นุ่มละมุนมากๆ
จานที่สี่ดูมีพิธีรีตองในการกินที่สุด ต้องย่างมันปูแล้วค่อยนำเนื้อปูไปคลุก
จานที่ห้า ก้ามปูย่าง อ่อ ลืมบอกว่าปูที่นี่คือ King Crab (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
จานที่หกคือซูชิและซุปใส ถุงเกี้ยวในซุปจะมีข้าวพองอยู่ด้วย
ปิดท้ายด้วยผลไม้
ต้องลงมาชำระค่าเสียหายที่ชั้น 1
โอ๊ย…วันนี้หนทางมันยาวไกลมากๆ เริ่มจากตลาดนิชิกิ , นั่งรถไฟสายโรแมนติก , ชมป่าไผ่ , เข้าวัดเทนริวจิ , เดินเล่นที่อาราชิยาม่า แล้วก็กลับมาโอซาก้าเพื่อพิชิตเมนูปูยักษ์ ไหนบอกว่าจะเที่ยวแบบชิลๆ ไงคะคุณส้ม แต่ที่เล่ามาตลอดสามวันนี่เธอจัดหนักมากนะ แต่จะบ่นมากก็ไมได้ เพราะจัดทริปเองนิน่า เลยต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป (555)
เพื่อนๆ อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจไป จริงๆ การเที่ยวญี่ปุ่นไม่ได้โหดร้ายเวอร์เหมือนที่ส้มบอกหรอกค่ะ อิอิ เพียงแต่ส้มสุขภาพไม่ค่อยดี แถมไม่ชอบออกกำลังกาย พอต้องไปเดินเยอะๆ ตื่นเช้าทุกวัน ร่างกายมันก็เลยรวนไปหน่อย ตลอดสามวันรู้สึกล้า และทางแก้ให้หายล้าในญี่ปุ่นนี่จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “แช่ออนเซ็น” ใครอยากไปแช่ออนเซ็นราคาไม่แพง เดินทางไม่ไกล และเป็นออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ต้องอ่านต่อนะคะ (อิอิ) ตอนนี้ขอหลับยาวก่อนนะ ครอกฟี้~ครอกฟี้
*************************************************************************************************************************************
วันที่ 4 : สำรวจห้างดัง – กินคุชิคัตสึที่ชินเซไก – แช่ออนเซ็น – ช้อปปิ้งที่ดองกี้
โซนซุปเปอร์ในห้าง UMEDA HANKYU และ Hanshin
แรงบันดาลใจที่อยากไปเดินโซนซุปเปอร์ของ 2 ห้าง เป็นเพราะรายการ True X-Zyte แท้ๆ เลยค่ะ แต่ละรายการอาหารชอบพาไปสำรวจของกินที่ห้างอยู่บ่อยๆ ซึ่งภาพที่เห็นในทีวีมันมีแต่ของหน้าตาน่ากินสุดๆ ดังนั้น เช้าวันนี้เราเลยมุ่งมั่นตั้งใจไปหามื้อเช้ากินกันที่ห้าง UMEDA HANKYU และห้าง Hanshin ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่แถวสถานีรถไฟ Osaka และ Umeda
จุดหมายแรกของเราคือ “ห้าง UMEDA HANKYU” ชั้น B1 ที่นี่คือศูนย์รวมร้านขนมมากมาย เดินเข้าไปเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ทุกอย่างมันล่อตาล่อใจไปหมด ต้องตั้งสติให้ดีๆ เพราะถ้าใจไม่แข็งพอมีหวังกระเป๋าฉีกแน่ (555) ห้างนี้ออกแนวเน้นของหรูอ่ะค่ะ ตอนแรกตั้งใจจะกินข้าวที่นี่ พอไปเดินหาเจอแต่ร้านหรูราคาแพงเลยต้องตัดใจค่ะ
ที่นี่เหมาะสำหรับคนรักขนมหวานจริงๆ
เลือกไม่ถูกจริงๆ
อาหารน่ากินมาก แต่ราคาก็แรงมากเช่นกัน
เมื่อได้ขนมมาแล้วก็ข้ามมา “ห้าง Hanshin” ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ที่นี่มีอาหารคาวให้เลือกซื้อเต็มไปหมดเลยค่ะ เบนโตะ ไก่ย่าง สลัด ฯลฯ อาหารดูดีทุกอย่าง เสียแต่ที่มันเย็นความอร่อยเลยลดไป 60% หากอยากซื้ออาหารแล้วต้องการกินเลย ให้เดินอ้อมมาที่ด้านหลังซุปเปอร์นะคะ จะมีจุดให้เรายืนกินอยู่ค่ะ ย้ำนะคะว่า “ยืน” อย่านึกภาพฟู๊ดคอร์สโลตัสบ้านเรา เพราะมันเป็นเพียงโซนเล็ก(มากๆ) มีโต๊ะยาวๆ 1 แถวและโต๊ะกลมอีก 3-4 ตัว ทุกคนต้องรีบกินรีบออก เพื่อให้คนอื่นได้ใช้พื้นที่บ้าง กินไปเมื่อยไปอ่ะ (><”)
ซุปเปอร์ของที่นี่มีอาหารคาวเพียบเลย เสียดายไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา
ข้าวราดเต้าหูทรงเครื่อง พร้อมไข่เยิ้มๆ อร่อยได้ในราคาไม่แพง เพราะแค่ 361 เยนค่ะ
ขนมโมจิที่ซื้อมาจากห้าง UMEDA HANKYU
อาหารเช้าของเรา ซื้อจากซุปเปอร์ทุกอย่างเลย
เยือน Shinsekai แหล่งรวมร้านคุชิคัตสึ
เราเดินเล่นและกินข้าว (ที่ซื้อจากในซุปเปอร์) ก็เตรียมเดินทางไปจุดหมายต่อไป คือ “ย่าน Shinsekai” จริงๆ ย่านนี้จะคึกคักช่วงเย็นๆ ค่ะ แต่เราไม่แคร์เราจะไป จบมั้ย (555) วิธีการเดินทางคือนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี DOBUTSUEN-MAE ออกประตู 3, 5 เดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ
“Shinsekai” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “โลกใหม่” แม้ว่าย่านนี้จะเกิดมานานกว่า 100 ปีแล้ว แต่มันคือโลกใหม่ของผู้คนในสมัยเมจิค่ะ ตอนนี้มันอาจไม่ใช่โลกใหม่แล้ว แต่ย่านนี้ก็ยังคึกคักอยู่เช่นเดิม เพราะมีร้านรวงมากมาย รวมถึงสัญลักษณ์ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าของที่นี่ “หอคอยทสึเทงคาคุ” (Tsutenkaku) ด้านบนเป็นจุดชมวิว แล้วมีร้านขายสินค้าของกูลิโกะด้วย แต่ส้มไม่ได้ขึ้นไปแค่คืนถ่ายภาพด้านล่างก็พอใจแล้วค่ะ
เดินตามหอคอยนั่นไป เดี๋ยวก็ถึงแล้ว
ตุ๊กตานี้น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ มองไปทางไหนก็เจอ
ร้านอาหารที่เยอะสุดในย่านนี้ต้องยกให้ “ร้านคุชิคัตสึ” เหมือนเป็นแลนด์มาร์กว่าใครอยากกินคุชิคัตสึต้องมาที่นี่ ไหนๆ มาแล้วก็ขอลองซักหน่อย ส้มเลือกร้านที่มีเมนูภาษาอังกฤษค่ะ ตั้งใจสั่งแค่คนละ 2-3 ไม้ เพราะยังอิ่มกับมื้อเช้าในซุปเปอร์อยู่เลย พอพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟกลับไม่มีกะหล่ำปลีอย่างในรูป ส้มก็อยากกินกะหล่ำปลีด้วย ไม่งั้นเลี่ยนตาย พนักงานก็ฟังอังกฤษไม่รู้เรื่องเลย สุดท้ายต้องชี้ที่รูปกะหล่ำในเมนู แต่ดั๊น!! ไปชี้เมนูที่เป็นจานใหญ่ คุณพนักงานชีก็เข้าใจว่าเราสั่งจานใหญ่เพิ่ม 1 จาน สรุปมื้อนี้กินคุชิคัตสึกันแทบอ้วกเลยค่ะ (555)
ปล.2 การทานคุชิคัตสึ สามารถนำอาหารจิ้มซอสได้แค่ 1 ครั้งเท่านั้นนะคะ หากจะราดซอสเพิ่มต้องเอาใบกะหล่ำตักซอสขึ้นมาแทน เพราะถ้วยน้ำจิ้มต้องใช้กันหลายคนค่ะ (แต่อีชั้นไม่มีกระหล่ำ จะให้ทำยังไง กรี๊ดดด)
เมนูหน้าร้าน ใหญ่เบิ้มสะใจ
มีหลากหลายเมนู
ภายในร้าน
และแล้วก็ได้ลองซักทีนะ คุชิคัตสึ
แช่ออนเซ็นที่ “Natural Open-air Hot Spring Spa Suminoe”
วันนี้เราตั้งใจจะไปลองแช่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ตอนแรกกะจะไปที่ Spa World แถว Shinsekai แต่ค่าเข้าคนละ 2,000 กว่าเยน เลยลองหาที่ใหม่ในอินเตอร์เน็ต แล้วก็มาเจอที่นี่ค่ะ นอกจากราคาถูกแล้ว ยังเดินทางไม่ยากอีกด้วย แล้วจะรออะไรอยู่ ไปแช่ออนเซ็นกันเถอะ
“Natural Open-air Hot Spring Spa Suminoe” อยู่ในเมืองโอซาก้านี้เองค่ะ เพื่อนๆ สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Suminoekoen ทางออก 2 เมื่อเดินออกมาจะเห็นสะพานลอยอยู่ซ้ายมือ ให้เพื่อนๆ เดินตรงไปทางที่จะไปสนามกีฬา เมื่อเดินไปซัก 200 เมตร จะเห็นอาคารด้านขวามือที่เขียนว่า “GOLF SUMINOE” ให้เดินต่อไปอีกซัก 50 เมตรก็จะเจออาคารหลังสีเหลืองอยู่ด้านขวามือ นั่นแหละค่ะทางเข้าออนเซ็น
เมื่อหันหลังให้ทางออก 2 ด้านซ้ายมือจะเป็นสะพานลอย (สีเขียว) ให้เดินตรงไปตามลูกศรีสีแดงเลยจ้า
เมื่อเห็นตึกนี้ ออนเซ็นก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
เห็นอาคารสีเหลืองนี้เมื่อไหร่ เลี้ยวซ้ายเข้าไปตรงประตูทางเข้าเลยนะ
เดินผ่านประตูขาวมา อาคารออนเซ็นอยู่ด้านในค่ะ
นี่ไงสถานที่แช่ออนเซ็นของเรา ถึงซักที
ออนเซ็นต้องเดินเข้าไปที่ด้านหลังนะคะ เป็นอาคารชั้นเดียวสไตล์โบราณ เพื่อนๆ ไม่ต้องห่วงบริเวณนี้มีป้ายบอกทางให้เราด้วยค่ะ สำหรับขั้นตอนการใช้บริการ ส้มจะอธิบายให้ฟังจ้า
1. เมื่อเราเข้ามาด้านในแล้วให้นำรองเท้าไปฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ โดยหยอดเหรียญ 100 เยนเข้าไป ซึ่งเงินนี้จะได้คืนตอนที่เรามาเปิดเอารองเท้าขากลับค่ะ (อย่าลืมหยิบกุญแจล็อกเกอร์รองเท้าไปด้วยนะคะ)
2. พอเก็บรองเท้าเสร็จแล้ว ให้มาติดต่อที่เคาน์เตอร์ จ่ายค่าบริการคนละ 650 เยน (แช่กี่นาทีก็ได้) หากใครไม่ได้เตรียมผ้าเช็ดตัวมา สามารถเช่าผ้าเช็ดตัวในราคา 200 เยน จะได้ผ้าเช็ดตัว 1 ผืน และผ้าผืนเล็กๆ อีก 1 ผืน
3. หญิง/ชายแยกประตูกันนะคะ (ผู้ชายป้ายสีน้ำเงิน/ผู้หญิงป้ายสีแดง) เข้ามาด้านในจะเห็นล็อกเกอร์หลายตู้เรียงรายกันอยู่ ตู้ไหนที่มีกุญแจล็อกเกอร์ค้างอยู่แปลว่าเป็นตู้ว่างค่ะ จากนั้นก็ได้เวลา “แก้ผ้า” แล้วจ้า ช่วงนี้เป็นเวลาแห่งการวัดใจความกล้า เพราะคนไทยเราไม่ชินกับการแก้ผ้าในที่สาธารณะ แต่อย่ากังวลไปค่ะ ถอดๆ ไปเถอะไม่มีใครมาสนใจเราหรอก ยิ่งคนญี่ปุ่นด้วยแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดามั่กๆ หากเรากระมิดกระเมี้ยน นั่นแหละเค้าจะยิ่งมอง
เมื่อล่อนจ่อนแล้ว (อิอิ เขิลกันมั้ยคะ) ก็นำเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋าตังค์ กุญแจล็อกเกอร์รองเท้า มือถือ (ด้านในนี้ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด) คุณมีสิทธิ์หยิบเพียงแค่ผ้าผืนเล็กๆ ผืนเดียวเข้าไปด้านในบ่อแช่ออนเซ็นนะคะ อ่อ อย่าลืมหยอดเหรียญ 100 เยนก่อนล็อกตู้ด้วยนะ (ได้เงินคืนอีกเช่นกัน) กุญแจล็อกเกอร์จะมีสายรัดข้อมือ เพื่อนๆ ใส่ไว้ตลอดการแช่ออนเซ็นเลยนะคะ ไม่ต้องถอดออกมา เดี๋ยวหายขึ้นมาล่ะยุ่งเลย กระซิบอีกนิดสำหรับสาวผมยาวทั้งหลายก่อนลงแช่อย่าลืมมัดผมให้เรียบร้อยก่อนด้วยนะคะ
4. ที่ Natural Open-air Hot Spring Spa Suminoe แห่งนี้จะแบ่งบ่อออนเซ็นภายในอาคารและกลางแจ้งนะคะ (มีซาวน่าเกลือด้วย) ก่อนที่เราจะลงบ่อแช่ ให้เดินไปด้านซ้ายมือจะมีพื้นที่อาบน้ำ สระผม เราต้องอาบน้ำให้เรียบร้อย (ส่วนผมก็แค่รวบไว้ แล้วค่อยมาสระตอนแช่เสร็จแล้วก็ได้) เค้ามีแชมพู ครีมอาบน้ำให้พร้อม เวลาอาบน้ำ “ห้าม” เปิดน้ำทิ้งไว้ตลอดเวลาและต้องระวังอย่าให้น้ำไปกระเซ็นโดดคนรอบข้างเค้านัก ดังนั้นค่อยๆ อาบอย่ายกจ้วงแบบอยู่ที่บ้านนะฮะคุณผู้ชม
5. เมื่ออาบเสร็จก็เลือกบ่อแช่ได้ตามสบายเลยค่ะ อุณหภูมิน้ำมีตั้งแต่ 36 – 60 องศาเลย หากยังไม่ชินกับความร้อนก็ลงไปแช่บ่อที่อุ่นๆ หน่อย (ที่บ่อจะมีป้ายบอกอุณหภูมิ) เวลาลงแช่ก็อย่ากระโจนลงไป ค่อยๆ ลงเอาเท้าแช่แป๊บนึงให้ร่างกายชินความร้อนก่อน แล้วค่อยแช่ทั้งตัว (ห้ามน้ำผ้าผืนเล็กนั่นลงไปในบ่อด้วยนะ ให้วางไว้ขอบบ่อก็พอ) การแช่รอบแรกควรใช้เวลาแค่ 5 นาทีแล้วขึ้นมาล้างตัวนิดนึง จากนั้นค่อยกลับไปแช่นานๆ ได้ (เพื่อให้ร่างกายได้ปรับอุณหภูมิ) แล้วก็อย่ามัวเดินแบบเหนียมอายนะ ทำตัวชิลๆ เพราะทุกคนเค้าก็แก้กันหมด อย่าได้แคร์ (อยากบอกว่ามีบ่อที่เหมือนบ่อจากุชชี่ด้วย ฟินเวอร์)
ตอนเข้าไปแรกๆ เราอาจเคอะเขินและปฏิบัติตัวไม่ถูก ส้มก็อาศัยแอบมองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยแล้วก็ทำตามเค้าค่ะ เช่น เวลาเราแช่บ่อนึงอยู่ แล้วต้องการเปลี่ยนไปแช่อีกบ่อนึง ก่อนลงแช่ต้องตักน้ำจากขันที่เค้าวางไว้แต่ละบ่อเพื่อนำมาล้างเท้า ล้างสิ่งสกปรกที่ติดเท้าตอนเราเดินมา หรือ เวลาเดินไปบ่อไหนก็สามารถนำผ้าผืนจิ๋วปิดด้านล่างได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด คนญี่ปุ่นเค้าก็ทำกัน เป็นต้น
6. แช่ออนเซ็นจนหนำใจแล้วก็มาอาบน้ำ สระผมอีกครั้ง แล้วก็กลับไปเอาเสื้อผ้าในล็อกเกอร์มาใส่ ส่วนผ้าเช็ดตัว 2 ผืนที่เช่ามาค่อยเอาไปคืนที่เคาน์เตอร์ตอนแต่งตัวเสร็จ (เค้ามีบริเวณสำหรับนั่งแต่งหน้าด้วยนะ ไดร์เป่าผม แป้ง มีพร้อม) ด้านนอกมีอาหารและเครื่องดื่มจากตู้กดอัตโนมัติไว้ ใครสนใจก็ใช้บริการได้ค่ะ
เข้ามาแล้วก็นำรองเท้าเก็บที่ล็อกเกอร์
จากนั้นมาติดต่อที่เคาน์เตอร์นี้ค่ะ (ขออภัยที่ภาพเบลอ อิอิ)
ด้านในห้ามถ่ายรูปแล้วนะคะ นี่คือภาพจากเว็บไซต์ของออนเซ็นและอินเตอร์เน็ต (ขอบคุณเจ้าของภาพมากค่ะ)
การมาแช่ออนเซ็นเป็นการพักผ่อนที่สุดยอดมาก ร่างกายมันผ่อนคลายขึ้น , บรรเทาอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี แถมทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งด้วยนะ ราคา 650 เยน ชั่งคุ้มค่าจริงๆ หลายคนยังชั่งใจอยู่ว่าจะลองแช่ดีมั้ย เพราะติดเรื่องแก้ผ้า (รู้หรอกว่าเขิล) แต่จากประสบการณ์ที่ได้ลองแช่มา 2 ครั้ง บอกเลยว่าต้องลองแช่ค่ะ ตอนแรกจะเขิลเป็นธรรมดาแต่เดี๋ยวก็ชิน ก็อย่างที่บอก “เค้าแก้กันทุกคน เค้าเห็นของเรา เราก็เห็นของเค้า win win” 555
เว็บไซต์ Natural Open-air Hot Spring Spa Suminoe
http://www.spasuminoe.jp/index.html
ช้อปปิ้งที่ Don Quijote
พอได้แช่ออนเซ็นแล้วเรี่ยวแรงก็กลับมาเต็มร้อย วันนี้เลยขอไปช้อปปิ้งซักหน่อย ร้านที่โด่งดังสุดๆ ในหมู่มวลคนไทยต้องยกให้ Don Quijote (ดองกี้ โฮเต้) หากใครเคยไปสิงคโปร์ อารมณ์ร้านนี้จะเหมือนห้างมุสตาฟ่าเลยค่ะ คือรวมทุกสิ่ง เอเวอรี่ติงจิงเกอเบล
ส้มไปที่ดองกี้สาขา Dotonbori มีประมาณ 7 ชั้น (ไม่ชัวร์) แบ่งแต่ละชั้นตามประเภทสินค้า เช่น เครื่องสำอาง , เครื่องไฟฟ้า-เครื่องครัว , ขนม-อาหาร หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น บางคนอยากซื้อของฝากแต่ไม่มีเวลาไปเดินเลือกหลายๆ ที่ก็แวะมาที่นี่ได้เลยค่ะ ถามถึงเรื่องราคาบางอย่างก็ถูกว่าร้านข้างนอก แต่ในเคสของส้มซื้อพวกครีมล้างหน้า ครีมบำรุงผิว ราคาจะแพงกว่าร้านขายยา (แนววัตสัน) อยู่พอสมควรค่ะ
ปล.3 ที่ร้านดองกี้สามารถคืนภาษีได้เลยนะคะ ในประเทศญี่ปุ่นการคืนภาษี (Tax Refund) จะต้องดำเนินการที่ร้านค้าที่เราซื้อเท่านั้น ไม่มีมา Refund ที่สนามบินเหมือนประเทศอื่นๆ ค่ะ
วันนี้เหนื่อยแต่สนุกและสบายจากการแช่ออนเซ็น พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการอยู่ประเทศญี่ปุ่นแล้วล่ะค่ะ แม้จะเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่รับรองใช้อย่างคุ้มค่าแน่นอนค่ะ แล้ววันสุดท้ายส้มจะพาไปไหน ต้องตามมานะ
ในร้านดองกี้แบ่งตามประเภทสินค้า ซึ่งมีหลากหลายสุดๆ
รายละเอียดการขอคืนภาษีในร้านดองกี้ มีภาษาไทยด้วย
นี่ขนาดปลามตัวเองแล้ว ยังได้ของอย่างที่เห็นในภาพอ่ะคะ แหะๆ
ขนมเยลลี่แบบนี้ ซื้อมาเล่นก็หนุกดีนะ (แต่ไม่หร่อย เพราะหวานมาก)
*************************************************************************************************************************************
วันที่ 5 : ปิดท้ายทริปด้วยซูชิร้าน Endo – ช้อปเพลินที่ถนน Shinsaibashi
พาไปหม่ำซูชิร้านดังแห่งโอซาก้าที่ “Endo Sushi”
มาญี่ปุ่นตั้งหลายวันยังไม่มีซูชิตกถึงท้อง เช้านี้เลยต้องตามหาซูชิร้านดังที่คนไทยรู้จักกันดี ส้มกำลังพูดถึง “Endo Sushi” นั่นเองค่ะ มาโอซาก้าทั้งทีไม่มาร้านนี้เดี๋ยวเค้าหาว่าเชยเนอะ
“Endo Sushi” ตั้งอยู่ในตลาดปลาโอซาก้า การเดินอาจจะต้องต่อรถไฟหลายรอบหน่อย แต่ก็อยากรู้ว่ารสชาติมันเลิศเลอสมคำร่ำลือรึเปล่าเลยต้องยอม ส้มขึ้นรถไฟจากสถานี Shin-Osaka มาลงที่สถานี Tamagawa 6 ทางออก 6 จากนั้นก็เดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร ข้ามถนนใหญ่ไป ตลาดปลาจะอยู่ขวามือค่ะ ส่วนร้านซูชิจะตั้งอยู่แถวลานจอดรถ หาไม่ยากจ๊ะ
เมื่อออกมาจากทางออก 6 ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ เลยนะ
ข้ามถนนมาจะเห็นอาคารนี้ แปลว่าถึงตลาดปลาแล้ว
เมื่อเจอป้ายนี้ ให้เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ร้านอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้
ตอนมาถึงแอบดีใจเพราะไม่มีคนต่อแถว ที่ไหนได้เปิดประตูเข้าไปคนเต็มร้านเลย พนักงานเสิร์ฟผู้หญิงเค้าพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร เธอบอกให้เรารออยู่หน้าร้านสักครู่ ระหว่างรอเราก็ได้เจอกับนักท่องเที่ยวชาวไทยอีก 4 คนที่มาเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเช่นกัน บอกแล้วร้านนี้ดังในหมู่คนไทยจริงๆ
เจอแล้วร้าน Endo Sushi
เมื่อได้โต๊ะแล้วก็ได้เวลาสั่งอาหาร เมนูที่คนไทยนิยมสั่งมากที่สุด คงเป็นแบบที่มีซูชิ 5 คำในจาน ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 ชุด ส้มเคยอ่านในรีวิวคนที่เคยไปทานเค้าบอกว่าหากเราต้องการทานเมนูที่ 4 เราต้องสั่งเมนูที่ 1-3 มาทานก่อน ไม่สามารถทานข้ามเมนูได้ อันนี้จริงไม่จริงก็ไม่รู้เพราะส้มสั่งมันทั้ง 4 เมนูอยู่แล้ว คือยึดถือคติที่ว่า “มาทั้งทีต้องเอาให้สุด”
ร้านเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยผู้คน
โต๊ะที่เรานั่ง
ที่โต๊ะจะมีซอสสำหรับทาลงบนซูชิ และขิงดองไว้ให้
จัดมาทั้งหมดเลยแล้วกัน
แต่ละชุดมีซูชิ 5 คำ จานละ 1,050 เยน จากที่อ่านในอินเตอร์เน็ตบอกว่าร้านนี้เป็นต้นตำหรับของซูชิข้าวอุ่น พอทานครบ 5 เซ็ท กลับรู้สึกผิดหวังอ่ะค่ะ ถามว่าอร่อยมั้ยก็อร่อยแต่ไม่ถึงขั้น “ว้าว” ส้มเคยไปทานที่ตลาดปลาซึกิจิ (ไม่ใช่ร้านที่คนต่อคิวตั้งแต่ตี 5 นะคะ) ส้มว่ารสชาติ หน้าตาอาหาร และวัตถุดิบดีกว่าที่นี่ แต่ถ้ามองในมุมของราคาที่ไม่แพงมาก รสชาติก็พอไหวอยู่
เริ่มที่ชุดที่ 1
ชุดที่ 2 มีดีที่ “เห็ดมัตสึทาเกะ” เค้าว่าราคาสูง และมีเฉพาะฤดูใบไม้ร่วง
อ้ามซักคำมั้ยคะ
ต่อด้วยชุดที่ 4
รวมชุดที่ 4-5
ช้อปปิ้งเบาๆ ที่ถนน Shinsaibashi
จริงๆ ถนนแห่งการช้อปปิ้งนี้ควรมีเวลาอย่างน้อยครึ่งวันในการเลือกซื้อของ แต่ตลอด 4 วันที่ผ่านมาคิวแน่นมากเลยไม่ได้มาเดินช้อปจริงจังที่ Shinsaibashi ซักที ได้แต่เดินผ่านๆ ตอนมา Dotonbori แม้ส้มต้องไปรับกระเป๋าที่โรงแรมและเตรียมขึ้นรถไฟไปสนามบินตอนบ่ายโมงครึ่ง แต่ก็อยากหาเวลามาสัมผัสบรรยากาศที่นี่ซักนิดก็ยังดี
ร้านค้าที่นี่เยอะมากจริงๆ ค่ะ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางเพียบ ราคาถูกบ้างแพงบ้างสลับกันไป ถ้าโชคดีมีโอกาสมาที่เมืองโอซาก้าอีกครั้ง ส้มจะกลับมาซ้ำที่นี่ให้ได้ เวลาแค่ 2 ชั่วโมงไม่เพียงพอจริงๆ ค่ะ แต่ก็เอาน่า ดีกว่าไม่ได้มา เพราะถ้ามาตั้งแต่วันแรกๆ อาจจะหมดตูดก่อนไปเที่ยวที่อื่นเป็นแน่แท้ 555
ผู้คนคึกคักตลอดทั้งวัน
ใครว่าญี่ปุ่นของต้องแพงเสมอไป ดูนี่ซะก่อน!!!
“Book Off” ร้านขายสินค้ามือสอง คุณภาพเยี่ยมก็มีที่นี่นะ เสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม เพียบเลย
หลังจากไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรมแล้วก็มารอขึ้นรถด่วน Haruka กลับสนามบิน (อย่าลืมว่าต้องนั่งที่โบกี้ Non Reserve เท่านั้นนะคะ) ใครที่ยังไม่ได้ซื้อของฝากก็ไปซื้อที่ดิวตี้ฟรีในสนามบินได้ เพราะราคาที่ไม่คิด Vat ถูกกว่าข้างนอกพอสมควรค่ะ
มาขึ้นรถไฟไปสนามบินกันดีกว่า ต้องรีบหน่อยเดี๋ยวตกเครื่อง
กฎของการโดยสารเครื่องบิน
แผนผังในสนามบินคันไซ
ทริปนี้รวมหลายความรู้สึกเลยค่ะ ทั้งสุขจากการได้ทำตามความฝัน เศร้าที่บางแผนอาจไม่เป็นตามที่ตั้งใจ เหนื่อยเมื่อยจากการเดินวันละหลายกิโลเมตร แต่ที่ได้มากที่สุดคือประสบการณ์และความภูมิใจค่ะ ภูมิใจที่กล้าก้าวข้ามความกลัวที่ตัวเองสร้างขึ้นเสียที ขึ้นชื่อว่า “ญี่ปุ่น” อาจทำให้หลายคนกลัวที่จะทำตามฝัน เพียงเพราะคิดว่ามันเที่ยวยาก กลัวหลง กลัวแพง แต่เมื่อกล้าที่จะลองแล้วจะพบว่า “ญี่ปุ่น” ไม่ได้ไปยากอย่างที่คิด ขอแค่คุณกล้าที่จะไปเยือนมันซักครั้ง อย่าปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงแค่ความฝันต่อไปเลยค่ะ ~ญี่ปุ่นรอคุณอยู่นะ~
แล้วทริปหน้าจะพาไปกิน ไปเที่ยวที่ไหน อย่าลืมติดตามกันนะคะ บ๊ายบาย
และนี่คือผลของการไปเที่ยวญี่ปุ่นในครั้งนี้ นี่กะจะซื้อไว้เผื่อกินปีหน้าไปเลย อิอิ
ลิ๊งค์ Part 1 https://www.i-som.com/?p=2999
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand