“Lost in Japan” ชวนไปหลง(เสน่ห์)โอซาก้า-เกียวโต (Part 1)
แค่ชื่อก็รู้แล้วใช่มั้ยคะว่าทริปนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแน่นอน ดังนั้นขอให้ทุกคนฟิตกล้ามขา พลังเท้าให้พร้อม เพราะเรากำลังจะพาท่านไปผจญภัยในดินแดนที่มีอาหารแสนอร่อย เทคโนโลยีสุดล้ำนำสมัย เคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัย แล้วยังมีรถไฟความเร็วสูง จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก “ประเทศญี่ปุ่น”
สำหรับคนไทยแล้ว ส้มว่า “ประเทศญี่ปุ่น” มีความผูกพันกับเรามาตั้งแต่เด็กๆ เลยก็ว่าได้ เริ่มต้นจากการ์ตูนโดเรม่อน โคนัน ชินจัง เซเลอร์มูน สารพัดการ์ตูนในความทรงจำวัยเด็กล้วนแล้วแต่ผ่านมือการผลิตจากคนญี่ปุ่น ยังไม่รวมแฟชั่น , เพลง J-POP หรือแม้แต่อาหารการกิน เรียกว่าหันไปทางไหนก็จะมีวัฒนธรรมญี่ปุ่นแอบแฝงอยู่ในไทยเสมอ สิ่งเหล่านี้คงเป็นแรงจูงใจให้ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสประเทศนี้ซักครั้ง
ส่วนส้มเข้าขั้น “หลง” ในมนต์เสน่ห์ Japan เข้าอย่างจังเลยค่ะ ใฝ่ฝันอยากไปญี่ปุ่นด้วยตนเองดูบ้าง เวลานั่งดูรายการท่องเที่ยวก็พลันจินตนาการว่าถ้าฉันไปที่นั่นจริงๆ คงฟินน่าดู แต่มันยังคงเป็นจินตนาการต่อไป หากเราไม่ลุกขึ้นมาเดินตามฝัน แล้วตอนนี้เวลาก็พร้อม ใจก็พร้อม(มาตั้งนานแล้ว) จะมัวรอช้าอยู่ใย ไปตามความฝันกันดีกว่า Let’s go to Japan!!!!!
ปล.1 สำหรับ Part 1 รายละเอียดมากหน่อยนะคะ ยังไงอย่าเพิ่งเบื่อกันนะ เพราะส้มไม่อยากแบ่งเนื้อหาออกเป็นหลายๆ Part เลยจัดเต็มแค่ 2 Part ก็พอ และข้อมูลที่มีเยอะนั้น ก็เพราะอยากให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวเองจริงๆ นะฮ้าบบบ / ส่วนรูปภาพทริปนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะเพิ่งซื้อกล้อง DSLR ใหม่มา แต่ยังใช้ไม่เป็น (><”)
เลือกไปที่ไหนดี???
สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง แต่ยังไม่มีประสบการณ์ใดๆ มากนัก ส้มขอเสนอ 2 ทางเลือกให้เพื่อนๆ ลองตัดสินใจกันดูนะคะ
1) ภูมิภาคคันโต ใครที่ชอบช้อปปิ้ง เจอแสงสี ผู้คน แหล่งท่องเที่ยวแบบ Cool Cool แต่ก็มีกลิ่นอายความเป็นอดีตแฝงอยู่ ส้มแนะนำให้มาเส้นทางนี้ค่ะ การคมนาคมครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ หากเพื่อนๆ อยากไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่วัดอาซากุสะ กินไข่ดำที่โอวาคุดานิ หรือชมภูเขาไฟฟูจิ มีให้ในภูมิภาคนี้ ถึงแม้อยู่คนละเมือง แต่ก็เดินทางไม่ไกลกันมาก เที่ยวเองครั้งแรกขอแนะนำเลยค่ะ
2) ภูมิภาคคันไซ คนที่ชอบวัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และประวัติศาสตร์เก่าแก่ของญี่ปุ่น แต่ก็มีแหล่งช้อป ชิม ชิล ไม่แพ้ใคร แนะนำให้มาแถบนี้เลยค่ะ ทั้งโอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ วากายาม่า และมิเอะ เที่ยวง่าย การคมนาคมสะดวกเช่นเดียวกัน ซึ่งเส้นทางที่ 2 ตอบโจทย์ส้มมากกว่า เลยขอเลือกที่จะเริ่มภารกิจเที่ยวญี่ปุ่นเองครั้งแรกที่นี่ค่ะ
ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น (ขอบคุณภาพจาก yokosojapan.org)
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง
1. เช็ควันเดินทาง : ลำดับแรกให้วางแผนช่วงเวลาเดินทางกันก่อน เช่น อยากชมซากุระต้องไปฤดูใบไม้ผลิ , อยากชมใบไม้เปลี่ยนสีต้องฤดูใบไม้ร่วง เลือกวันหยุดที่เราสะดวก แล้วล็อกวันให้เรียบร้อย (ควรเลือกเผื่อไว้ซัก 2 ช่วง หากวันไหนตั๋วเครื่องบินเต็มหรือแพง ก็ลองเลือกช่วงวันอื่นที่อยู่ในลิสแทน)
2. จองตั๋วเครื่องบิน/ที่พัก : เรื่องนี้หลายคนเลือกทำเป็นข้อแรกด้วยซ้ำค่ะ ประมาณว่าเจอราคาตั๋วโปรมาล่อใจ วันว่างตรงหรือไม่ค่อยว่ากัน (555) ซึ่งทำให้ได้ตั๋วถูกแน่นอนค่ะ แต่ถ้าใครเลือกจองตั๋วเป็นลำดับที่ 2 ก็ไม่ผิดนะคะ ลองเช็คในเว็บไซต์ของสายการบินโดยตรง , เว็บไซต์เอเจนซี่ที่รับจองตั๋ว หรือเช็คราคาคร่าวๆ จากเว็บเปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินอย่าง www.expedia.co.th เป็นต้น
สายการบินที่ส้มขอเสนอคือ Asia Atlantic Airlines มีอาหารและโหลดกระเป๋าฟรี 23 กก. ราคาไม่แรงมาก แต่ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องงบ แล้วชอบช้อปเป็นชีวิตจิตใจ Japan Airline คือสายการบินที่คุณคู่ควร เพราะเค้าใจป้ำให้โหลดกระเป๋าได้คนละ 2 ใบๆ ละ 20 กิโลกรัม.!!!
ตอนส้มหาตั๋วเครื่องบินก็ดูเว็บนั่นนี่ไปเรื่อย แล้วก็ไปเจอเว็บไซต์ www.his-bkk.com/th ที่มีแพ็คเกจตั๋วเครื่องบิน+ที่พัก ในราคาถูกกว่าซื้อแยกกัน ส้มลองโทรเช็คกับเจ้าหน้าที่ดู เราแค่บอกเค้าว่าต้องการเดินทางวันไหน ช่วงเวลาใด แล้วเค้าจะหาเที่ยวบินที่เหมาะ พร้อมแจ้งราคาให้เราทราบด้วยค่ะ ส่วนที่พัก H.I.S. จะมีรายชื่อโรงแรมให้เลือก หากเราโอเคในราคาแล้ว เค้าจะทำการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม เมื่อเสร็จแล้วก็จะส่งใบคอนเฟิร์มมาให้เราทางอีเมลค่ะ (โรงแรมต้องรอคอนเฟิร์มประมาณ 3-5 วัน ว่าวันที่เราจองห้องเต็มรึเปล่า ถ้าเต็มก็ต้องเลือกที่พักอื่นในลิสแทนนะคะ)
ใบคอนเฟิร์มจากทางโรงแรม ที่ H.I.S. ส่งมาให้ทางอีเมลค่ะ
ส่วนคนที่อยากจองโรงแรมเองมี 2 เว็บไซต์ที่ส้มมักใช้ในการจองที่พัก เพราะราคาถูกกว่าจองหน้าเว็บโรงแรมโดยตรง (แต่ก็อย่าชะล่าใจ ยังไงก็ต้องเช็คราคาของเว็บไซต์โรงแรมด้วยนะคะ) ขั้นตอนการจองก็สะดวกด้วย นั่นคือ www.agoda.com และ www.booking.com สำหรับเว็บไซต์ที่ส้มชอบไปสิงอยู่เพื่อหาข้อมูลการท่องเที่ยวคือ Pantip.com “ห้องบูลแพลนเน็ต” นี่เป็นคลังความรู้เรื่องการเดินทางท่องเที่ยวของส้มเลยค่ะ มีผู้คนมากมายมาแบ่งปันข้อมูลดีๆ ยังไงลองเข้าไปอ่านดูนะคะ
3. วางแผนการท่องเที่ยว : เมื่อได้ตั๋วเครื่องบิน-ที่พักแล้ว ก็มาถึงการวางแผนเส้นทางการท่องเที่ยวค่ะ
ซึ่งก่อนวางแผนเพื่อนๆ ลองศึกษารีวิวจากผู้ที่เคยไปเที่ยวมาแล้ว หรือหนังสือนำเที่ยวดูก็ได้ค่ะ เมื่อคัดเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้แล้ว ก็ถึงขั้นตอนสำคัญนั่นคือการใช้ Google Map เพื่อหาตำแหน่งที่ตั้งที่เที่ยว ว่ามีความใกล้หรือไกลมากน้อยแค่ไหน คราวนี้เราจะมองเห็นภาพว่าควรวางแผนเดินทางแต่ละวันยังไง ซึ่งการหาพิกัดแบบนี้มีข้อดีตรงที่เราไม่ต้องเดินทางย้อนไปย้อนมา ประหยัดเวลาเดินทางได้ด้วยค่ะ (https://www.google.co.th/maps/) หรือจะออกแบบเส้นทางการเดินทางของตัวเองก็ได้ง่ายๆ ที่ลิ๊งค์ https://www.google.com/maps/d/ คลิกที่ “สร้างแผนที่ใหม่” จากนั้นก็ค่อยๆ กำหนดจุดที่เราจะเดินทางไว้ เมื่อบันทึกเสร็จแล้ว เวลาเราไปเที่ยวก็สามารถค้นหาสถานที่จาก Map ที่เราสร้างขึ้นได้เลยค่ะ
ตัวอย่าง Google Map
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการเที่ยวในครั้งนี้ คือ “Hyperdia” (www.hyperdia.com/en) เว็บไซต์ที่ช่วยให้การเที่ยวของคุณง่ายขึ้นอย่างมาก เพราะนี่คืออัจฉริยะเรื่องสายรถไฟในญี่ปุ่นอย่างแท้จริง แค่คุณเลือกสถานีต้นทางที่จะขึ้น , สถานีปลายทาง และช่วงเวลาที่ต้องการเดินทาง แค่นี้ระบบจะคำนวณเส้นทางที่ใช้เวลาน้อยที่สุดให้ตามลำดับ พร้อมบอกว่าต้องขึ้นรถไฟสายอะไร ใช้เวลานานแค่ไหน ราคาตั๋วเท่าไหร่
จากนั้นก็แค่ Caption ภาพตารางเส้นทางที่เราเลือกมาใส่ไว้ในกำหนดการของเรา เวลาไปถึงญี่ปุ่นก็แค่เปิดภาพนี้ขึ้นมาดู แล้วเดินทางตามที่ hyperdia บอกเลยค่ะ แต่การจะใช้มันให้มีประสิทธิภาพก็ต้องรักษาเวลาให้ตรงกับที่วางแผนด้วยนะคะ
หน้าตาเว็บไซต์ Hyperdia
เส้นทางที่ Hyperdia คำนวณให้
4. สารพัดบัตรเบ่ง เลือกอันไหนดี : คราวนี้มาถึงเรื่องปวดหัวระดับชาติที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ Pass อะไรในการเดินทาง ค่ายรถไฟก็ออกสารพัดบัตรเบ่งมาให้ ปัจจัยที่เอาไว้ใช้เลือกคือ สถานที่ที่เราจะไปเที่ยว ส่วนใหญ่ต้องไปด้วยวิธีใด เช่น รถไฟของค่าย JR , รถไฟใต้ดิน (Subway) หรือรถเมล์ เป็นต้น รวมถึงระยะทางแต่ละที่ไกลกันแค่ไหน ข้ามเมืองมั้ย และใช้เวลาเที่ยวในญี่ปุ่นกี่วัน
ยกตัวอย่างทริปของส้มไปเที่ยวแค่สองเมืองคือ โอซาก้ากับเกียวโต 5 วัน 4 คืน ส้มเลือกใช้แค่บัตร Kansai Thru Pass แบบ 2 วัน เพราะใช้ได้กับ Subway รถเมล์ ฯลฯ (ยกเว้นรถของค่าย JR) ส้มเที่ยววันละไม่กี่แห่ง แต่ละแห่งมี Subway และรถเมล์ไปถึง ถ้าจะใช้ JR West Kansai Wide Area Pass คงไม่คุ้ม แถมต้องมาซื้อตั๋วรถเมล์เพิ่มอีก ส่วนวันอื่นๆ ก็ซื้อบัตร One Day Pass ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ เพราะราคาถูกกว่าซื้อตั๋วทีละครั้งค่ะ
5. มาแพ็คกระเป๋ากันเถอะ : สำคัญสุดก็ต้องเป็นเงินอยู่แล้วเนอะ เพื่อนๆ เลือกแลกได้ตามสะดวก ช่วงที่ผ่านมา (พ.ย.57) เรทเงินเยนถูกด้วย 28 บาท : 100 เยน ใครแลกตอนนี้เปรมกันไปตามๆ กัน (ถ้าไปแลกที่ซุปเปอร์ริช อย่าลืมนำสำเนาหน้าพาสปอร์ตไปด้วยนะคะ)
นอกจากเงินก็สุดแท้แต่เพื่อนๆ ว่าจะพกอะไรไปบ้าง ใครโหลดกระเป๋าฟรีก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ใครซื้อน้ำหนักก็เลือกดูว่าอะไรจำเป็นบ้าง อย่างเสื้อผ้าเนี๊ยะไม่ต้องพกเยอะก็ได้ ที่ญี่ปุ่นมีเสื้อผ้าสวยๆ คุณภาพดี ราคาไม่แรงเพียบเลยค่ะ สิ่งที่สำคัญอื่นๆ เช่น ยาต่างๆ , ปลั๊กยูนิเวอร์แซล , ที่ชาร์จแบตสำรอง และ Pocket WiFi Router จะได้ไม่ขาดการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ แถมเป็นตัวช่วยเวลาหลงได้ด้วยค่ะ (เอาไว้เข้า google map หาแผนที่)
“Pocket WiFi Router” เดี๋ยวนี้มีให้บริการหลายเจ้าค่ะ ราคาเช่าไม่แพง ใช้งานง่าย บางคนเลือกแบบที่ต้องไปรับและส่งเครื่องที่สนามบินญี่ปุ่น แต่ส้มเลือกใช้ของ BS Mobile หรือ SAMURAI WiFi (www.bs-mobile.jp/th) ตอนที่ส้มใช้เค้ามีโปรโมชั่นเช่าวันละ 200 บาท (ฟรีค่าส่งและมัดจำ) หลังจากที่เราบอกรายละเอียดวันเดินทางแล้ว บริษัทฯ จะแจ้งวันส่งเครื่อง พร้อมระบุวันที่เราต้องคืนเครื่องให้เค้า จากนั้นก็ชำระเงิน เมื่อถึงวันนัดหมายเครื่องก็ถูกส่งมาให้พร้อมอุปกรณ์สายชาร์จและกระเป๋าค่ะ
เรื่องประสิทธิภาพจาก 100 ขอให้ 80 คะแนนค่ะ ขอหัก 20 เพราะต้องคอยปิด/เปิด Router บ่อยๆ เนื่องจากมือถือมันหา WIFI ของเครื่องไม่เจอ แต่เรื่องวิธีการใช้งานและความแรงของสัญญาณดีทีเดียวค่ะ (ยกเว้นในสถานีรถไฟใต้ดินนะคะ)
เว็บไซต์ SAMURAI WiFi
http://www.bs-mobile.jp/th/
ส่วนเอกสารต่างๆ เช่น กำหนดการ , ใบจองโรงแรม , ใบจองตั๋วเครื่องบิน ควรปริ๊นเก็บไว้ 1 ชุด และโหลดไว้ในมือถือด้วย วิธีนี้สะดวกกว่ายืนค้นในกระดาษ A4 เยอะเลยค่ะ ส่วนพาสปอร์ตควรถ่ายเอกสารเผื่อไว้เช่นกันเกิดเล่มหายจะได้มีเอกสารแสดงตัวตน
Pocket WiFi Router ที่ส้มเช่ามาใช้งานตลอด 5 วัน
เครื่อง Pocket WiFi Router ของ SAMURAI WiFi ที่ส่งไปรษณีย์มาให้ค่ะ
ออกเดินทางกันเถอะ
ต้องบอกก่อนว่าส้มเคยไปญี่ปุ่นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นการซื้อทัวร์นะคะ (ทริปโอซาก้า-โตเกียว) หลังจากครั้งนั้นก็นั่งนับวันคอยที่จะ Backpack เที่ยวเองซักครั้ง ระหว่างรอก็อ่านรีวิวเก็บข้อมูลไปเรื่อย อยู่มาวันนึงที่บ้านอนุมัติเลยรีบวางแผนเที่ยว-จองตั๋วต่างๆ ในเวลาไม่ถึงเดือน (ก่อนหน้านี้คิดว่าจะไปญี่ปุ่นทั้งทีต้องวางแผนดีๆ อย่างน้อย 2-3 เดือน แต่ที่ไหนได้เมื่อใจพร้อมอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น 555)
ส้มตั้งใจว่าการเที่ยวครั้งนี้ขอแบบสบายๆ ไม่เน้นชะโงกทัวร์ เพราะอยากซึมซับบรรยากาศแต่ละแห่งนานๆ สุดท้ายก็เลยเลือกไปแค่เมืองโอซาก้าและเกียวโต เพราะนาราเคยไปมาแล้ว ส่วนเมืองอื่นๆ คงต้องไว้โอกาสหน้าเนื่องจากเวลาน้อย ส้มเลือกไปวันที่ 4-8 พฤศจิกายน 2557 (5 วัน 4 คืน/ไม่รวมวันเดินทางไป) เพราะอยากเจอใบไม้เปลี่ยนสีเยอะๆ แต่หารู้ไม่ว่าช่วงนั้นใบไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีเท่าไหร่ แอบเฟลอ่ะ (><”) แต่ก็นะ มาแล้วนิน่าก็ต้องเดินหน้าต่อไป ไว้ค่อยมาแก้มือใหม่ทริปหน้า (หาข้ออ้างเที่ยวอีกล่ะ)
และแล้วก็ถึงวันเดินทาง ส้มใช้บริการ “สายการบินเจแปนแอร์ไลน์” (Japan Airlines) เที่ยวบินที่ JL 728 (00.40 – 07.50 น.) อย่างที่บอกสายการบินนี้มีดีที่ให้โหลดกระเป๋าฟรีคนละ 40 กิโลกรัม แต่จริงๆ สาเหตุที่ส้มเลือกสายการบินนี้เพราะเวลาดีและราคาถูกกว่าการบินไทยคนละสามพันกว่าบาท (งกไว้ก่อนพ่อสอนไว้)
จากการนั่ง JAL ครั้งแรกขอสรุปในมุมมองของตัวเองว่า พนักงานบนเครื่องทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ใจบริการสุดๆ แต่สภาพบนเครื่องค่อนข้างเก่าค่ะ จอที่อยู่ตรงเบาะก็เก่า(มาก) แถมไม่ค่อยมีอะไรให้ดูด้วย เรื่องอาหารมีแค่ Snack ถุงน้อยๆ กับออมเล็ต 1 เซ็ทในตอนเช้า (แต่ขากลับเมืองไทยมีเสิร์ฟไอติม Häagen-Dazs ซะด้วย)
เวลาขึ้นเครื่องดึกเชียวแต่แลกกับการไปถึงสนามบินคันไซ (Kansai International Airport) ประเทศญี่ปุ่นแต่เช้าก็โออยู่ การเลือกเที่ยวบินลักษณะนี้ทำให้เรามีเวลาเที่ยวในวันแรกเยอะขึ้น แถมไม่ต้องเสียค่าห้องพักเพิ่ม 1 วัน แต่ก็ทำให้ร่างกายล้าสุดๆ เช่นเดียวกันค่ะ เพราะตอนอยู่บนเครื่องบินนอนไม่ค่อยหลับ แต่คืองกไงคะ อยากมีเวลาเที่ยวเยอะๆ… สุดท้ายร่างกายไม่ไหวสังขารไม่เอื้อ วันแรกเรียกว่าข้าพเจ้าสลบ อาการเหมือนโดนชกแล้วหลับไปเลยค่ะ
อาหารบนเครื่อง
จอสำหรับเล่นเกมส์ดูหนัง เก่าทั้งเครื่องและโปรแกรม
วันที่ 1 : เปิดประสบการณ์เที่ยวเอง หลงเอง ที่ “โอซาก้า”
จะผ่าน ตม. ได้มั้ยนะ??
ก่อนลงเครื่องแอร์โฮสเตสจะแจกเอกสารให้เรากรอก 2 ชุด คือ ส่วนที่ 1 สำหรับ ตม. (Embarkation – Disembarkation Card) แบ่งเป็น 2 ส่วนคือใบขาเข้าและขาออก เพื่อนๆ อ่านและกรอกรายละเอียดให้เรียบร้อยทุกช่องด้วยนะคะ เพราะถ้าไม่ครบเจ้าหน้าที่เค้าต้องมาเสียเวลาบอกให้เรากรอกเพิ่มอีก , ส่วนที่ 2 ใบศุลกากร (Customs Declaration) ในเอกสารจะมีรายละเอียดให้เรากรอกว่ามีสิ่งของอะไรที่นำเข้ามาบ้าง (เอกสารทั้ง 2 อย่างนี้ถ้าทำหายบนเครื่อง ก่อนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองจะมีเอกสารเหล่านี้วางไว้ให้เราอีกที เพื่อนๆ ก็หยิบมากรอกใหม่ได้ค่ะ)
ตอนนี้ญี่ปุ่นเค้าใจดียกเว้นวีซ่าสำหรับคนไทยที่ไปท่องเที่ยวไม่เกิน 15 วัน เจ้าหน้าที่ ตม.ก็ใจดีเช่นกัน เพื่อนๆ ไม่ต้องกลัวอะไรค่ะ ขอแค่เราเตรียมเอกสารไปเผื่อ เช่น กำหนดการเดินทาง , ใบจองโรงแรม , ตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าเผลอไปเก็บเอกสารเหล่านี้ไว้ในกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่องนะจ๊ะ
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้อย่างสบายใจ ด่านต่อไปคือศุลกากร เราก็แค่นำเอกสารส่วนที่ 2 ให้เค้าตรวจ แป๊บเดียวก็เสร็จ เดินตัวปลิวเตรียมเที่ยวญี่ปุ่นได้แล้วจ้า
เว็บไซต์แนะนำการกรอกเอกสารด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศญี่ปุ่น
http://www.emagtravel.com/archive/japan-immigration-card.html
เอกสารสำหรับด่านตรวจคนเข้าเมือง
ข้อมูลสถานที่ต่างๆ ในสนามบินคันไซ
สารพัดบัตรซื้อได้ในสนามบิน
ทริปนี้ส้มตัดสินใจซื้อบัตร 2 ชนิด คือ
1) “Kansai Thru Pass” สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ Travel Desk (ติดกับ Kansai Information Center) ชั้น 1 ภายในสนามบินคันไซ ซึ่งใช้ได้กับรถไฟเอกชน รถไฟใต้ดิน และรถบัสที่อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด ได้ไม่จำกัดเที่ยวตามเวลาในบัตร (ส้มซื้อประเภท 2 วัน ราคา 4,000 เยน) แล้วยังมีคูปองส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วย (เคาน์เตอร์นี้มีคู่มือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นภาษาไทยด้วยนะคะ เพื่อนๆ สามารถขอได้เลย ฟรีจ้า)
เว็บไซต์ข้อมูลบัตร Kansai Thru Pass
http://www.surutto.com/tickets/kansai_thru_english.html
เคาน์เตอร์ Travel Desk
ใครจะซื้อตั๋วเหล่านี้ ที่นี่มีให้นะคะ
บัตร Kansai Thru Pass พร้อมคู่มือ
มีเอกสารแนะนำการท่องเที่ยวภาษาไทยแจกฟรีด้วยนะคะ
2) “ICOCA & HARUKA” ต้องลงทะเบียนซื้อจากเว็บไซต์ก่อน แล้วปริ๊นอีเมลคอนเฟิร์มไปยื่นเพื่อรับบัตรจริงพร้อมชำระเงินได้ที่เคาน์เตอร์ JR Ticket Office ชั้น 2 (ด้านหน้าประตูทางเข้ารถไฟ) ภายในสนามบินคันไซเช่นกัน ซึ่งบัตร ICOCA เป็นบัตรเงินสดใช้ซื้อสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ, ส่วน HARUKA คือบัตรรถด่วนฮารุกะสามารถใช้เดินทางไป-กลับสนามบินคันไซได้ (ค่าย JR) โดยจอดทั้งหมด 3 สถานี คือ Tennoji, Shin-Osaka และ Kyoto เท่านั้น ใครที่พักในบริเวณสถานีเหล่านี้ ซื้อบัตร HARUKA คุ้มเลยค่ะ (ราคาบัตร ICOCA+Haruka แบบไปกลับ คนละ 4,060 เยน รวม Vat แล้ว/ซื้อสองบัตรพร้อมกันราคาถูกกว่าซื้อแยกนะคะ)
เว็บไซต์ข้อมูลการใช้และลงทะเบียนซื้อบัตร ICOCA & HARUKA
https://www.westjr.co.jp/global/en/travel-information/pass/icoca-haruka/agree.html
แผนที่เคาน์เตอร์ JR Ticket Office ชั้น 2
ด้านหน้าสำนักงาน JR
บัตร ICOCA ซ้าย – บัตร HARUKA ขวา
ออกเดินทางจากสนามบิน สู่ตัวเมืองโอซาก้า
วิธีการเดินทางเข้าเมืองมีหลายช่องทางค่ะ โดยดูว่าที่พักอยู่ย่านไหน สำหรับส้มพักที่โรงแรม New Osaka Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Shin-Osaka ดังนั้นรถด่วน HARUKA จึงเหมาะกับส้มเพราะใช้เวลาเดินทางน้อย ราคาไม่แพงมาก และมีจุดจอดที่ Shin-Osaka Station พอดี
สำหรับคนที่ซื้อบัตร Kansai Thru Pass แล้วเริ่มใช้งานตั้งแต่วันแรกก็สามารถนั่งรถไฟ Nankai เข้าเมืองได้เลยนะคะ (ทั้งรถด่วน HARUKA และรถไฟ Nankai ต้องเลือกนั่งโบกี้ Non Reserve เท่านั้น ถ้าจะจองที่นั่งต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ะ ซึ่งส้มคิดว่าไม่ต้องจองหรอกเพราะเรานั่งตั้งแต่ต้นสายผู้โดยสารยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ฝั่งตรงข้ามสำนักงาน JR Ticket Office คือทางไปขึ้นรถไฟทั้งสองค่าย (JR/Nankai)
ป้ายรายละเอียดขบวนรถไฟที่จะเข้าเทียบท่า
ภายในรถด่วนฮารุกะ ที่นั่งกว้างและนุ่มมาก
กว่าจะมาถึงโรงแรม
ส้มใช้เวลาเดินทางจากสนามบิน มาสถานี Shin-Osaka Station ประมาณ 40 นาที และทริป Lost in Japan ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาจากรถไฟ เพราะว่ามัน Lost ตั้งแต่หาโรงแรมเลยจ้า (555)
เนื่องจากส้มเดินทางรถไฟของค่าย JR ในเว็บไซต์โรงแรมแนะนำให้ออกประตู Central Gate ซึ่งเราใช้เวลาหาประตูนี้ไม่ถึง 10 นาที แต่กว่าจะถึงโรงแรมก็อีก 30 นาทีต่อมา!!! เพราะหาโรงแรมไม่เจอ เลยลองเดินหาประตู Exit 7 ตามที่โรงแรมแนะนำแต่ก็หาไม่เจอ (คนที่มาทาง Subway จะต้องออกประตูนี้ เพราะใกล้โรงแรมมากๆ) แต่มารู้ตอนหลังว่าประตูทางออกของ Subway และ JR มันไม่เชื่อมกัน เหอะๆ เอาเป็นว่าเรื่องเส้นทางที่ผิดๆ อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย ส้มขอข้ามมาบอกวิธีที่ถูกให้แล้วกันค่ะ
การเดินทางไป New Osaka Hotel
“สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟ JR” เมื่อมาถึงสถานี Shin-Osaka ให้ออกประตู Central Gate เดินลงบันไดเลื่อนที่ติดกับร้านสตาร์บัค เมื่อลงมาแล้วจะเจอลานกว้างๆ และถนนใหญ่ที่มีรถมาจอดรอรับคนอยู่ ให้เพื่อนๆ เดินออกไปด้านนอกอาคาร แล้วลองแหงนหน้ามองไปทางขวาจะเห็นป้ายสีฟ้าบนตึกสูงว่า “New Osaka Hotel” ตึกนั้นแหละค่ะโรงแรมเรา เพื่อนๆ ก็เดินตรงไปตามตึกนั้นได้เลย รับรองถ้าไม่หลงใช้เวลาเดินไม่เกิน 5 นาทีแน่ๆ
แผนที่โรงแรม New Osaka Hotel
เดินไปตามป้ายที่ระุบทางไป Central Gate
เมื่อออกมานอกอาคาร แหงนหน้ามองขึ้นไปจะเจอป้ายโรงแรมใหญ่อลังการ
“สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟ Subway” ให้ออก Exit 7 เมื่อพ้นประตูสถานีรถไฟให้เลี้ยวซ้าย (หากเลี้ยวขวาจะเจอร้าน Family Mart แทน) เดินต่อไปอีกนิดแล้วเลี้ยวขวาตรงทางแยกที่มีตู้กดน้ำเยอะๆ เดินต่ออีกหน่อยก็จะเห็นประตูทางเข้าโรงแรมอยู่ซ้ายมือ
แผนที่โรงแรม
http://www.newosakahotel.com/e/access/index.html
จากแผนที่จะเห็นว่า Exit 7 (วงกลมสีแดง) อยู่ใกล้โรงแรมมากๆ
ที่พักของเราเป็นยังไง ไปดูกัน
สาเหตุที่ส้มเลือกพัก “โรงแรม New Osaka Hotel” เพราะทำเลล้วนๆ เลยค่ะ เนื่องจากใกล้สถานี Shin-Osaka จะนั่งรถไฟใต้ดินก็ได้ รถไฟ JR ก็ดี ซินคันเซนก็มีให้บริการ เวลานั่งรถไฟจากสนามบินก็ง่าย นั่งไปเที่ยวที่ต่างๆ ก็ง่ายเข้าไปอีก (หลายคนเลือกพักใกล้สถานี Osaka หรือ Umeda เพราะเป็นศูนย์กลางของรถไฟหลายๆ สาย แต่ส้มว่าสถานีมันใหญ่ ผู้นพลุกพล่านและมีประตูทางออกเยอะแยะ ซับซ้อนเกิน แค่เดินหาสายรถไฟก็ทำเอาเมื่อยเลยล่ะค่ะ)
หลังจากเดินหลงอยู่ในสถานีรถไฟเกือบชั่วโมง ณ เวลา 10 โมงเช้า ส้มก็หอบกระเป๋าใบใหญ่มายืนอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมจนได้ ที่นี่เช็คอินตอน 14.00 น.(เช็คเอ้าท์ 12.00 น.) จึงจำเป็นต้องฝากสัมภาระไว้ที่โรงแรมก่อน
พนักงานของโรงแรมที่ส้มได้พูดคุย ส่วนใหญ่จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้นะคะ อาจจะไม่เก่งมากแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ภายในโรงแรมดูเก่าไปหน่อยแต่สะอาดดีค่ะ เสียตรงที่บริเวณล็อบบี้ มีคนนั่งสูบบุหรี่กันควันโขมง (T_T”)
หลังจากส้มเที่ยวเสร็จก็มารับกระเป๋าและเข้าห้องพักกัน พอเปิดประตูเข้าไป โอ้วแม่เจ้าโว้ย!! ห้องรึรูหนูเนี๊ยะ ทำไมไซส์มินิขนาดนี้ จริงๆ เตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะขนาดเล็กขนาดนี้ ทางเดินเข้าห้องแคบสุดๆ แต่มันเป็นจุดเดียวที่พอจะวางกระเป๋า 2 ใบใหญ่ได้ ดังนั้นก่อนส้มออกไปเที่ยวจำเป็นต้องเก็บกระเป๋าและยกตั้งไว้ให้เรียบร้อยทุกวัน ไม่งั้นแม่บ้านเดินเข้ามาทำความสะอาดไม่ได้แน่นอน (แอบไปส่องห้องที่เป็นเตียง Twin ขนาดใหญ่กว่าของเราพอสมควรค่ะ แต่ก็แพงกว่าเช่นกัน)
สิ่งอำนวยความสะดวกมีครีมอาบน้ำ แชมพู ที่ปั่นหู สำลี ไดร์เป่าผม แล้วยังมีตู้เย็น (ที่ไม่เย็น) โทรทัศน์ เตียงนุ่ม ฮีทเตอร์ ส่วนน้ำดื่มรองจากก๊อกได้เลยค่ะ ถ้าเทียบกันโรงแรมหรูๆ คงสู้เค้าไม่ได้ แต่ถ้าเอาไว้นอน พักผ่อนเฉยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินแพงๆ ให้เปลืองจริงมั้ยคะ
ถึงหน้าโรงแรม New Osaka แล้ว
ล็อบบี้กว้างขวางทีเดียวค่ะ
ด้านในห้องเล็กได้ใจจริงเจ้าค่า
พื้นที่น้อยใช้สอยประหยัด
เตียงไม่ใหญ่แต่นอนหลับสบายทั้งคืน เอ๊! หรือร่างกายมันล้ากันแน่นะ
ห้องน้ำไซส์มินิ
ปล.2 แพ็คเกจตั๋วเครื่องบินบวกโรงแรมที่ส้มซื้อ จะไม่รวมอาหารเช้าของโรงแรมนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะฝั่งตรงข้ามมีร้าน Family Mart ให้ทุกคนได้เข้าไปซื้อของกินในราคาเบาๆ ค่ะ
เว็บไซต์โรงแรม New Osaka Hotel
http://www.newosakahotel.com/e/
พร้อมลุยไปในโอซาก้า
หลังจากฝากสัมภารก เอ้ย สัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเที่ยวซะที แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางแค่ไหน แต่ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไปเนอะ (ฮึบ!) ด้วยความที่เป็นวันแรกจึงไม่อยากเที่ยวเยอะเท่าไหร่ เลยจัดตารางเที่ยวแค่ 3 แห่ง (นี่ขนาดไม่เยอะนะเนี๊ยะ อิอิ) ตอนเช้าและบ่ายไปปราสาทโอซาก้า , ย่านช้อปปิ้ง Tenjinbashisuji ตกเย็นไปเดินเล่นย่าน Numba เอาล่ะ! เราจะได้ไปลุยโอซาก้ากันซักที ถ้าพร้อมแล้ว ลุย!
ปล.3 การเดินทางของส้มจะเริ่มจากสถานี Shin-Osaka เป็นหลักนะคะ
ปราสาทโอซาก้า
ใครมาเที่ยวแถบคันไซต่างก็หวังจะมาเห็น “ปราสาทโอซาก้า” (Osaka Castle) ด้วยตาตัวเองซักครั้ง ส้มเลยเลือกที่นี่เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย ก่อนอื่นเราต้องไปซื้อตั๋ว One Day Pass สำหรับใช้นั่ง Subway , รถเมล์ในโอซาก้า ได้ไม่จำกัดรอบใน 1 วัน (วันธรรมดาราคา 800 เยน / วันหยุดราคา 600 เยน สามารถซื้อได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ หรือเคาน์เตอร์ Information ในสถานีรถไฟค่ะ)
ซื้อบัตร One Day Pass ได้ที่ตู้อัตโนมัติหรือเคาน์เตอร์นี้ก็ได้ค่ะ
หน้าตาบัตร One Day Pass
การเดินทางก็ไม่ยากค่ะ เริ่มต้นจากสถานี Shin-Osaka ให้ไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line แล้วลงที่สถานี TANIMACHI 4-chome ทางออก Otemon Gate (ในเว็บ Hyperdia จะเขียนสถานีนี้ว่า TANIMACHIYONCHOME) เมื่อเดินออกมาจากสถานีจะมีแผนที่โตๆ ให้ดูว่าปราสาทโอซาก้าอยู่ตรงไหนเพื่อนๆ ก็เดินตามไปโลด
เส้นทางที่แนะนำโดย HyperDia
เดินตามป้ายสาย Midosuji Line มาเลยค่ะ
นำบัตร One Day Pass เสียบเข้าไปในช่องรับบัตรเลยค่ะ (อย่าลืมเก็บกลับมาด้วยนะ)
ตรงชานชาลาจะมีป้ายบอกเส้นทางการวิ่งของรถไฟขบวนนั้นๆ
ระหว่างรอ อย่ายืนทับเส้นสีเหลืองนะ
แผนที่ใหญ่ๆ ศึกษาก่อนเดินจะได้ไม่หลง
ระหว่างทางเดินไปปราสาทโอซาก้า
ก่อนถึงตัวปราสาทโอซาก้า เราจะผ่านสวนสาธารณะที่แสนร่มรื่น ทำให้การเดินทางของเราไม่น่าเบื่อ เพราะระหว่างทางจะได้เห็นต้นไม้สวยๆ ลานกว้างๆ สัมผัสลมเย็นๆ แถมมีจุดให้แวะถ่ายรูปเพียบเลยค่ะ
เป็นสวนสาธารณะที่สามารถอยู่ได้ทั้งวันแบบไม่เบื่อเลย
หลากหลายอิริยาบถ
มองปราสาทจากด้านนอกก็สวยไปอีกแบบ
สำหรับตัวปราสาทจะมีทางเข้าที่ด้านข้าง ผู้ที่สนใจเข้าไปชมด้านในปราสาท สามารถซื้อตั๋วคนละ 600 เยน (หากใช้ Kansai Thru Pass มีส่วนลด 100 เยน) ด้านในจะจัดแสดงวัตถุโบราณ เรื่องราวในอดีตของประเทศญี่ปุ่น คนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ที่นี่เหมาะกับท่านมากค่ะ แต่เหมาะเฉพาะท่านนะคะ ไม่เหมาะสำหรับส้ม (555) คือส้มมาเพื่อให้รู้เฉยๆ ว่าด้านในมีอะไรบ้าง จะได้เอาไปเล่าได้ถูก (แนะนำให้ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดแล้วค่อยๆ เดินลงบันไดมานะคะ)
รอบๆ ปราสาทมีมุมให้ถ่ายภาพมากมาย สามารถเลือกถ่ายได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ มาญี่ปุ่นรอบนี้คิดว่าอยู่เมืองไทยเหอะ หันซ้ายหันขวาเจอแต่คนไทย ส่วนใหญ่มาเที่ยวกันเองด้วย บอกแล้วญี่ปุ่นไม่ได้เที่ยวยากอย่างที่คิด แค่กล้าซักนิดแล้วจะติดใจ (นี่มันสโลแกนอะไรซักอย่างอ่ะป่าวหว่า??)
ทางเข้าปราสาท
พื้นที่กว้างขวาง
และแล้วก็ได้มาเห็นปราสาทโอซาก้า ด้วยสายตาของตัวเอง
ยิ่งใกล้ยิ่งสวย
ขึ้นไปชมด้านบนปราสาทโอซาก้าดูบ้าง
ชมวิวจากด้านบนสุดของปราสาท ได้เห็นเมืองโอซาก้าแบบพาโนรามาเลยค่ะ
ก่อนกลับขอแวะเข้าไปชม “ศาลเจ้าโฮโกกุ” (Hokoku-jinja Shrine) โชคดีได้เจอคู่รักชาวญี่ปุ่นมาถ่ายรูป Pre Wedding เลยขอทำหน้าที่ปาปารัสซี่ถ่ายภาพเค้ามาฝากเพื่อนๆ นิดนึง
ต้องแวะ
บ่าวสาวชาวญี่ปุ่น
ชม แช๊ะ และชิม(ไอติม)กันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ จะไปยังไงน่ะหรอค่ะ ก็เดินกลับทางเดิมนั่นแหละค่ะ แต่ทำไมขากลับมันรู้สึกไกล๊ไกล ไอ้ตอนเดินมามันยังอยู่ในอารมณ์ลั้นล้าไงคะ พอตอนกลับมันบวกอารมณ์เหนื่อย เมื่อย และหิวข้าวเข้าไปด้วย เดินไปทรมานไป เมื่อไหร่จะถึงสถานีรถไฟซักที ใครจะมาเที่ยวญี่ปุ่นขอให้ฟิตร่างกายให้แข็งแรงนะคะ เพราะว่าต้องเดินเยอะมากจริงๆ
ไอติมที่นี่อร่อยนะ คอนเฟิร์ม
สำรวจย่านช้อบปิ้ง Tenjinbashisuji
ให้เพื่อนๆ เดินกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี TANIMACHI 4-chome อีกครั้ง เพื่อไปลงสถานี Minamimorimachi ทางออกไหนให้เดากันเอาเอง อันนี้ไม่ได้กวน(ทีน)นะ คือหนังสือนำเที่ยวของส้มเค้าไม่ได้บอกไว้ ส่วนป้ายในสถานีรถไฟก็ไม่มีบอกเช่นกัน ส้มเลยใช้วิธีออกมามั่วๆ ก่อนแล้วพิมพ์พิกัดใน google map จากนั้นก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ ดีใจชะมัดที่มาถึงจุดหมายได้ ปลื้มใจเหมือนได้รางวัลออสก้า (บอกแล้วว่าอินเตอร์เน็ตสำคัญมากในการเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ทริปนี้ google map ช่วยชีวิตอีชั้นไว้หลายรอบมากเพคะ)
การเดินทางไป Tenjinbashisuji
“Tenjinbashisuji” เป็นย่านช้อปปิ้งที่ชาวญี่ปุ่นนิยมมาจับจ่ายใช้สอยค่ะ เพราะเค้าบอกว่าสินค้าราคาไม่แพง ตลอดระยะทางกว่า 2.6 กิโลเมตร เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านอาหาร, เครื่องครัว, อาหารสด-อาหารแห้ง ฯลฯ แต่เสียดายที่ส่วนใหญ่ยังปิดอยู่ ก็ที่นี่เค้าเริ่มคึกคักหลัง 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ซึ่งส้มรู้อยู่แล้วล่ะค่ะว่าจะเจอสถานการณ์นี้ แต่เนื่องจากวันและเวลาเที่ยวมันไม่อำนวยให้มาที่นี่ช่วงเย็นจริงๆ เลยจำเป็นต้องมาแบบนี้น่ะค่ะ
ร้านอาหารมีเยอะก็จริงแต่ยังปิดอยู่กว่า 80% ส้มเดินหาร้านข้าวอยู่นานสุดท้ายถอดใจ ตัดสินใจกลับไปตายรังที่สถานี Shin-Osaka ดีกว่า เพราะว่าต้องกลับไปเช็คอินที่โรงแรมอยู่แล้ว แถมการหลงในสถานีเมื่อเช้านี้ทำให้รู้ว่าที่นั่นมีอาหารขายหลายร้านเลย (การหลงก็มีข้อดีเนอะ)
เห็นประตูแบบนี้มาไม่ผิดที่แน่นอนค่ะ
ร้านค้าหลากหลาย เสียดายส่วนใหญ่ยังไม่เปิด
ระหว่างเดินเห็นร้านขายเนื้อชุบแป้งทอด คนต่อคิวเยอะเลยขอลองบ้าง สรุป อร่อยมาก
และแล้วเรากลับมายืนอยู่ที่สถานี Shin-Osaka อีกครั้ง ส้มเลือกซื้อซาลาเปาและเกี๊ยวซ่า “ร้าน 551 Horai” หากใครเคยชมรายการ maki’s magic restaurant ครัวมหัศจรรย์ ทางช่อง True X-Zyte จะเห็นร้านนี้บ่อยๆ เพราะเค้าว่าเป็นร้านดังและอร่อยในโอซาก้า ไหนๆ มาถึงถิ่นแล้วก็ขอจัดอย่างละกล่อง แต่แล้ว….. ไม่รู้ว่าหวังเยอะเกินไป หรือรสชาติมันไม่ถูกปากกันแน่ คือไม่อร่อยอย่างแรงค่ะ ซาลาเปาแป้งหนาเกิน ไม่นุ่ม ไม่หอมเลย ส่วนไส้ก็ใส่หัวหอมใหญ่อย่างเยอะ จนกลบกลิ่นหมูซะหมด ดีนะที่เกี้ยวซ่าพอรับได้ เฮ้อ เสียใจที่มื้อแรกในประเทศญี่ปุ่นจบลงเช่นนี้ (T_T)
แล้วเราก็กลับมาเช็คอินที่โรงแรมค่ะ ซึ่งมันมีข้อดีตรงที่ได้แวะมาล้างหน้า ล้างตา และหลับซักงีบ เพราะตอนเย็นยังต้องไปสำรวจย่าน Shinsaibashi และ Dotonbori กันต่อ เมื่อหนทางยังอีกยาวไกล ขอชาร์จแบ็ตให้ร่างกายซักแป๊บนะจ๊ะ Zzzz
เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน หลับได้ไม่ทันไรก็มืดซะแล้ว กรี๊ดดด สายแล้วๆ รีบลุกขึ้น ขยี้ตา ล้างหน้า และวิ่งไปสถานีรถไฟอย่างด่วน
จะไม่มีครั้งที่สองแน่นอน สำหรับร้าน 551 Horai (ตอนยังไม่กิน ยิ้มปลื้มปริ่มเชียว)
พาไปทานเนื้อมัสซึซากะแท้ๆ ที่ “Matsusakagyu Yakiniku M”
“ถนน Shinsaibashi” และ “Dotonbori” ตั้งอยู่ในย่านนัมบะ (Namba) วิธีการเดินทางคือขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานี Shin-Osaka ไปลงที่สถานี Numba ส้มเลือกออก Exit 14 ค่ะ
ก่อนจะไปเดินเล่น ส้มขอพาทุกท่านไปกินของอร่อยๆ กันที่ร้านเนื้อย่างนามว่า “Matsusakagyu Yakiniku M” ซึ่งมีเนื้อมัตสึซากะ (Matsusaka) ไว้บริการ นี่เป็นครั้งแรกที่ส้มได้กินเนื้อมัตสึซากะแท้ๆ ที่เค้าร่ำลือว่ารสชาติเด็ดที่สุดในบรรดาเนื้อทั้งหลาย ถ้ากินที่เมืองไทยคงเสียหายเหยียบหมื่น แต่ที่นี่ถูกกว่าและของแท้ ไม่มีย้อมแมวแน่นอนค่ะ
ร้าน Matsusakagyu Yakiniku M มีอยู่ 2 สาขา แต่ส้มเลือกสาขา Hozenji–Hanare เพราะหาง่ายกว่า เดินออกจากสถานี Numba ประตู Exit 14 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยมาแป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ
แผนที่ร้าน Matsusakagyu Yakiniku M
จริงๆ ก่อนที่จะมาทานต้องโทรจองล่วงหน้า เพราะร้านเค้าเป็นที่นิยมแต่มีที่นั่งน้อยมาก ส้มได้ขอให้พนักงานโรงแรมโทรจองแต่ไม่มีคนรับซักที เลยตัดสินใจเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านเลยจ้า โชคดีสุดๆ ที่มีโต๊ะว่างพอดี ย่ะฮู้ววว (ตอนกินเสร็จเดินออกมา ลูกค้ารอเพียบ)
ร้านเนื้อย่างอยู่ชั้น 2 ของอาคารนี้นะคะ (ส่วนร้านลุงหน้าดุมีอยู่ทั่วเมือง เค้าขายคุชิคัตสึค่ะ)
เข้าประตูนี้ แล้วกดลิฟท์ไปที่ชั้น 2 ได้เลยจ้า
เห็นป้ายนี้แปลมามาถูกที่แล้วล่ะ
เพื่อนๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องการสั่งอาหารนะคะ เพราะเค้ามีเมนูภาษาอังกฤษพร้อมรูปภาพ และพนักงานที่ Speak English ได้เก่งมากๆ มาคอยให้บริการ ตอนแรกส้มตั้งใจจะสั่งชุดละ 2,500 เยน/คน แต่ฟังพนักงานร่ายมนต์ซักพัก กลับสั่ง “ชุด Matsusaka DX Platter” ราคา 13,800 เยน ที่มีเนื้อหลากหลายส่วน และปริมาณเหมาะสำหรับ 2 คนด้วย ได้เนื้อ 1 ชุดก็อิ่มแปล้แล้วค่ะ แต่ถ้ากลัวเลี่ยนแนะนำให้สั่งข้าวเปล่ามาเสริมทัพ เพราะการกินเนื้อย่างกับข้าวญี่ปุ่นร้อนๆ เป็นอะไรที่ตัดเลี่ยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ คอนเฟิร์ม
เมนูอาหาร
เมนูที่ส้มเลือกค่ะ สั่งไปเมนูเดียวนะคะ แค่นี้ก็จะหมดตัวแล้ว แหะๆ
อาวุธพร้อม
ระหว่างรออาหาร พนักงานก็บริการดี๊ดี เอาพร๊อพโน่นนี่มาให้เราถ่ายรูปตลอดๆ ยอมรับและนับถือการบริการของชาวญี่ปุ่นจริงๆ ค่ะ เค้าให้บริการด้วยใจ และเต็มที่มาก
เมื่อเนื้อถูกยกมาเสิร์ฟก็ได้เวลาคืบเนื้อมาย่างแล้วก็อ้ามมมมม เดี๋ยวก่อน!!! นั่นมันธรรมดาเกินไป จะกินเนื้อชั้นดีทั้งทีต้องทำความรู้จักมันซะก่อน คุณพนักงานคนเดิมจะมาอธิบายให้เราฟังว่า จานที่นำมาเสิร์ฟประกอบด้วยเนื้อส่วนใด แต่ละส่วนมีรสสัมผัสแบบไหน เหมาะที่จะกินคู่กับน้ำจิ้มประเภทใด โอ้ว อลังการงานสร้างแท้ๆ แต่อยากบอกว่า…พอถึงตอนกินเค้าก็จำไม่ได้อยู่ดีอ่ะตัวเอง แหะๆ
คุณสามีทานคำนึงก็ยิ้ม ทานอีกคำก็ชมว่าเนื้อหวานจัง นุ่มจัง อร่อยจัง แหม! อะไรจะขนาดนั้นคะคุณผู้ชาย (555) เรื่องคุณภาพรับประกันได้เพราะมีใบการันตีที่มาชัดเจนว่าเป็นเนื้อมัตสึซากะของแท้ จากภาพหลายคนอาจคิดว่าเนื้อปริมาณไม่เยอะสมราคาเลย แต่ด้วยคุณภาพและปริมาณที่เห็น กินๆ ไปอิ่มไม่รู้ตัวเลยนะคะ บอกแล้ว 2 คนกำลังดีจ๊ะ ใครยังไม่มีลิสร้านอาหารแถวนัมบะอยู่ในใจ แนะนำให้ลองไปทานร้านนี้ดูค่ะ (ให้บริการเวลา 17.00 – 22.00 น.)
เว็บไซต์ร้าน Matsusakagyu Yakiniku M
http://matsusaka-projects.com/english/
มาแล้วจ้า เมนูที่เราสั่ง แค่เห็นก็อดใจไม่ไหวแล้ว
ซูมให้ดูลายเนื้อ (แต่อย่าถามว่ามันคือส่วนไหนนะคะ จำบ่ได้)
และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย….ลงย่างโดยด่วน
มีใบการันตี
Shinsaibashi-Dotonbori มีอะไร ไปดูกัน
หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน แต่เรายังนอนไม่ได้ อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงญี่ปุ่นจะรีบนอนได้ไง ต้องกอบโกยความสุขเยอะๆ จริงมั้ยคะ ดังนั้นเราไปเดินเล่นกันต่อเลยดีกว่า
เริ่มที่ “Shinsaibashi” เป็นถนนช้อปปิ้ง ที่รวบรวมร้านค้าแฟชั่นมากมาย ส่วน “Dotonbori” ถนนเส้นนี้เต็มร้านอาหารระรานตามาก สมแล้วที่คนญี่ปุ่นกล่าวว่า “โอซาก้าคือครัวของญี่ปุ่น” ไม่ว่าจะเป็นซูชิ ราเมน ทาโกะยากิ หรือ “คุชิคัตสึ” เมนูที่ทำจากสารพัดอาหารเสียบไม้ชุบแป้งทอด นี่เป็นอีกหนึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้เมื่อมาโอซาก้านะคะ (อาหารของโอซาก้าที่มีชื่อเสียงคือ ทาโกะยากิ , คุชิคัตสึ , โอโคโนมิยากิ และปู)
ในย่านแสงสีแต่มีศาลเจ้าซ่อนตัวอยู่
เห็นหลายคนมาเที่ยวญี่ปุ่น ชอบถ่ายรูปฝาท่อ
ร้านค้าบริเวณ Shinsaibashi
แลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องมาให้ได้เมื่อถึง “ย่าน Dotonbori” คือยืนถ่ายรูปคู่กับ “ป้ายกูลิโกะ” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสะพานเอบิสุ (ebisu bridge) ตรงนี้แหละค่ะคือจุดถ่ายรูปยอดนิยมของทุกคน เพื่อนๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาป้ายไม่เจอนะคะ ตรงไหนที่คนเยอะๆ ยืนชูมือยกเท้าข้างเดียว แล้วก็หันกล้องขึ้นมาถ่ายรูปในทิศทางเดียวกัน ที่นั่นแหละค่ะ “ป้ายกูลิโกะ”
ตอนที่วางแผนจะไปเที่ยวโอซาก้า ส้มใจไม่ดีเลยเพราะกลัวไม่ได้เห็นป้ายไฟกูลิโกะในตำนาน ก็ช่วงที่ส้มจะไปเค้าเพิ่งถอดป้ายกูลิโกะออก แถมยังมาถอดป้ายชั่วคราวที่เป็นรูปดาราญี่ปุ่นออกก่อนส้มเดินทางไม่กี่วันอีก อุตส่าห์ได้ไปโอซาก้าทั้งทีถ้ามีแต่โครงป้ายเปล่าๆ คงเศร้าใจน่าดู แต่แล้วฟ้าก็มีตา นำป้ายใหม่ที่ไฉไลกว่าเก่ามาติดเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปอีกครั้ง เย้ๆ
เจอแล้วป้ายกูลิโกะ
สองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้า
ร้านดองกิโฮเต้ (Donquixote) ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
หลังจากทำภารกิจประชานิยม (ถ่ายรูปคู่ป้าย) เสร็จแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจร้านค้ากันต่อ ส้มเน้นเดินถนน Dotonbori เป็นหลักนะคะ เพราะเวลาไม่พอไปที่ Shinsaibashi ที่นี่แสงสีเยอะเหลือเกินค่ะ ทั้งดิสเพลย์ ป้าย LED ต่างถูกตกแต่งเต็มสองข้างทาง เวลาเดินเล่นรู้สึกสนุก ตื่นเต้นที่ได้เจอสิ่งแปลกใหม่ตลอดเวลา ทั้งสองย่านนี้กินพื้นที่หลายกิโลเมตร เดินไปเดินมาร่างจะแหลก แม้ใจอยากไปต่อแค่ไหน แต่กายไม่ให้จริงๆ ค่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้อย่าไปฝืนสังขารเลย กลับไปนอนเอาแรงเตรียมพร้อมสำหรับเที่ยว “เกียวโต” ต่อในวันพรุ่งนี้ดีกว่าเนอะ
ร้านปู เดี๋ยว Part 2 ส้มจะพามากินที่ร้านนี้กันค่ะ
ราเมนร้านดังในย่านนี้ค่ะ
ร้านนี้ห้ามพลาด เพราะมีสินค้าของกูลิโกะที่ซื้อได้จากที่นี่ที่เดียว (ชูแขนนานรักแร้เปียกแล้วพี่!!)
*************************************************************************************************************************************
วันที่ 2 : ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ – วัดคิโยมิสึ – และการแสดงที่กิออน
เช้าวันนี้เราฝากท้องที่ร้าน Family Mart ตรงข้ามโรงแรม อากาศเย็นๆ แบบนี้เหมาะเหลือเกินที่จะกินโอเด้ง ที่เมืองไทยไม่ค่อยมีขาย ถึงขายก็แพ๊งแพง แต่ที่ Family Mart ในญี่ปุ่นมีโอเด้งร้อนๆ รสชาติอร่อย ราคาประหยัด ให้กินได้ตลอดเวลา ส่วนคนที่เลือกกินข้าวปั้นเหมือนเล่นจับฉลากเลยค่ะ ต้องสุ่มเอาว่าจะได้ไส้อะไร คุณสามีมือขึ้นจับได้แต่ของอร่อย พอส้มเลือกบ้างเท่านั้นแหละ เจอ “ไส้บ๊วย” เลยจ้า ดีงามที่สุด พูดเลย (><”)
ปล.4 ช่วงเวลาที่ส้มไปเที่ยวตลอด 5 วัน อากาศอยู่ระหว่าง 15 องศาเซลเซียส แค่ใส่ฮีทเทค 1 ตัว เสื้อไหมพรมซักตัว และผ้าพันคอก็เอาอยู่แล้วค่ะ
โอเด้ง ของโปรดของส้มเลยค่ะ ตักเพลินเกินห้ามใจ
ภายใน Family Mart มีที่ให้นั่งทานอาหารด้วยล่ะ ดีจัง
โอเด้งแสนอร่อยของส้ม เลือกที่อยากกินได้ตามใจชอบในราคาเบาๆ
วันนี้ส้มออกเดินทางตอน 8 โมงเช้า ถึงแม้โรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟแค่ 1 นาที (ขึ้นรถไฟใต้ดินประตู 7) แต่ก็ต้องรีบออกเดินทาง เพราะเรามีแผนเที่ยวรออยู่ วันที่ 2 ของการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ส้มจะพาทุกคนไปเมืองเกียวโตกันค่ะ สำหรับคนที่อยากไปเที่ยวเมืองนี้ แนะนำให้วางแผนไปในวันธรรมดานะคะ เพราะเสาร์-อาทิตย์คนมหาศาลและรถติดมากด้วย
ตารางการเที่ยวของเราในวันนี้คือ ไปถ่ายรูปกับเสาโทริอินับพันต้นที่ “ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ” , ไหว้พระและเดินถนนสายกาน้ำชาที่ “วัดคิโยมิสึ” ปิดท้ายด้วยชมการแสดงวัฒนธรรมแบบฉบับญี่ปุ่นที่ “กิออน” ดูเหมือนเที่ยวน้อย แต่ระยะทางที่เดินไม่น้อยเลย
เดินทางเวลาเดียวกับช่วงพีคของคนที่นี่ ก็ต้องเจอแบบนี้ล่ะจ๊ะ
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
“ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ” (Fushimi Inari Shrine) เป็นสถานที่แรกๆ ที่ส้มตั้งใจไปเที่ยวเลยค่ะ เวลาเห็นภาพที่ใครต่อใครไปถ่ายมา ล้วนแล้วแต่สวยแสบตาทั้งนั้น อยากรู้ซะจริงๆ ว่าเสาโทริอิที่เรียงต่อกันหลายกิโลเมตรมันจะมีเสน่ห์มากแค่ไหน
วันนี้เป็นวันแรกที่ส้มเริ่มใช้งาน “บัตร Kansai Thru Pass” ถือว่าสะดวกมาก เพราะไม่ต้องต่อแถวซื้อตั๋วหลายๆ รอบ การเดินทางไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เริ่มที่สถานี Shin-Osaka เช่นเดิม ส่วนต้องขึ้นสายไหน ลงสถานีอะไร ดูได้จากภาพด้านล่างนี้เลยจ้า
ปล.5 เวลาจะขึ้นรถไฟขบวนไหนให้ดูป้ายที่แสดงรายละเอียดขบวนรถไฟที่จะเข้ามาเทียบชานชาลาให้ดีนะคะ เพราะมันมีทั้งแบบ Local , Limited express หรือ Express แต่ละขบวนจะจอดในสถานีต่างกัน เกิดไปขึ้นขบวนที่เค้าไม่จอดป้ายที่เราจะลง เพื่อนๆ จะต้องเสียเวลาหาทางกลับมายังสถานีเป้าหมายอีกนะคะ
เดินทางตามที่เราวางแผนไว้ อาจดูซับซ้อนหน่อย แต่ถือเป็นประสบการณ์
ด้านในรถไฟ Limited express กว้างขวาง นั่งสบายมาก
พอลงจากรถไฟปุ๊บ รู้ทันทีว่ามาไม่ผิดที่แน่ๆ เพราะตั้งแต่สถานีรถไฟก็ตกแต่งธีมเดียวกับศาลเจ้าเลย เมื่อเดินไปซักพักก็เจอทางเข้าศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ซึ่งมีเสาโทริอิขนาดยักษ์ตั้งเด่นเป็นสง่า ให้ทุกคนเข้าไปยืนเทียบท่าแล้วกด “แชะ” เสียดายที่ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสีเท่าไหร่ ไม่งั้นบรรยากาศจะสวยเวอร์วังอลังการกว่านี้แน่นอน
ดูที่สถานีรถไฟสิ น่ารักเชียว
บรรยากาศระหว่างทาง ตอนนี้ยังเช้าอยู่ นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ
สีแดงสดของเสาโทริอิ ทำให้อดใจไม่ไหวที่จะขอบันทึกภาพไว้
เป็นศาลเจ้าที่สวยมากเลยค่ะ
สุนัขจิ้งจอก คือสัญลักษณ์ของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
เมื่อเข้าไปด้านในแล้วก็แวะไหว้เจ้า ทำบุญ และขอพรซักครู่ จากนั้นก็ได้เวลาชมไฮไลน์ของที่นี่กันค่ะ จะเป็นสิ่งใดไปไม่ได้นอกจาก “ซุ้มประตูที่เรียงรายไปด้วยเสาโทริอินับพันต้น” สาเหตุที่มีเสาจำนวนมากเช่นนี้ เพราะบริษัท ห้างร้านต่างๆ ของญี่ปุ่นนิยมบริจาคโทริกันเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงทำให้มีเสาโทริอิมากมาย เรียงรายไปบนยอดเขาเลยค่ะ
หากมองจากด้านหน้าจะเห็นเสาสีส้มเรียงกันสวยงาม พอลองหันกลับมาดูเสาจากด้านหลัง จะมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นอยู่ ซึ่งให้ความสวยไปอีกแบบ ใครที่อยากถ่ายรูปโดยที่ไม่มีคนมาบังหน้า บังหลัง ขอให้ลองเดินเข้าไปลึกหน่อย เพราะคนจะน้อยกว่าด้านหน้าพอสมควรค่ะ
ได้เวลา แชะ แชะ แชะ
ที่ด้านหน้าศาลเจ้าจะมีป้ายที่ทำเป็นรูปเสาโทริไว้ให้เราเขียนคำขอพรลงไป แล้วผูกไว้บริเวณนั้น กิจกรรมนี้ได้รับความนิยมมาก ส้มเห็นคนไทยไปเขียนไว้เยอะเหมือนกัน ส้มเลยขอเขียนด้วยคน อิอิ
เดินเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวเกือบเที่ยงแล้ว ร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวันของเราคือ “ร้าน NEZAMEYA” เค้าขายหลายอย่าง ทั้งซูชิ อูด้ง แต่ที่ขึ้นชื่อคือข้าวหน้าปลาไหล ที่ย่างให้เห็นกันที่หน้าร้าน ส่งกลิ่นหอมยวลใจมากๆ ร้านนี้รู้จักดีในหมู่นักท่องเที่ยว คนไทยก็ไปทานเยอะเหมือนกัน เรื่องราคาอาจแพงไปนิด ยังไงก็ลองไปส่องราคาหน้าร้านก่อนได้ค่ะ
ร้านนี้หาไม่ยาก ให้เดินออกจากศาลเจ้าเส้นทางที่มีร้านขนม ของฝากเยอะๆ ร้านอยู่ตรงสี่แยกเลยค่ะ ส้มเข้าไปกินก่อนเที่ยงยังพอมีโต๊ะว่าง พอเที่ยงปุ๊บคนมาต่อคิวกันเต็มไปหมดเลย ดีนะส้มไม่ใช่หนึ่งในนั้น วะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮะ ฮ่า (หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง)
เดินออกมาเส้นที่มีร้านของฝากนะคะ
ร้านอยู่ตรงสี่แยกเลยค่ะ (ที่มีลูกศรชี้)
ปลาไหลย่าง หอมยวลใจ
อยากกินเมนูไหน ลองเลือกดู
วัดคิโยมิสึ
“วัดคิโยมิสึ” (Kiyomizu-dera) วัดนี้ใครไปเกียวโตแล้วไม่มาเยือนที่นี่เหมือนมาไม่ถึงเกียวโต คนไทยตั้งชื่อว่า “วัดน้ำใส” เพราะมีน้ำ 3 สายที่เวลาใครไปต้องแวะมาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตซักหน่อย (แต่ส้มไปมา 2 รอบ ไม่เคยต่อคิวรอซักที เพราะขี้เกียจ 555)
ส้มขึ้นรถไฟที่สถานี Fushiminari ไปลงที่สถานี Kiyomizu-gojo สถานีนี้ดีหน่อยมีป้ายบอกว่าไปวัดวัดคิโยมิสึต้องออกประตูไหน จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 20 นาทีจะเจอทางแยกใหญ่ๆ ให้ข้ามถนน แล้วเดินขึ้นไปบนทางเนินเขานั้นเลยค่ะ
จริงๆ ป้ายแบบนี้ควรมีทุกสถานีนะคะ
ระหว่างทาง แม้จะเมื่อย แต่ไม่มีเบื่อค่ะ
เจอวัดหรือศาลเจ้าอะไรไม่รู้ สวยดีเลยแวะเข้าไปถ่ายรูป ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ทำไม่ได้แน่ถ้ามากับทัวร์
เดินต่อไปอีกนิดก็ใกล้ถึงถนนสายกาน้ำชาที่มีร้านค้าเยอะๆ แต่ว่าส้มดันเลี้ยวผิดไปอีกถนนนึงค่ะ เพราะระหว่างทางขึ้นจะมีแยกซ้าย-ขวา ไอ้เราก็เลยเดาเอาว่ามันคงไปทางขวา สุดท้ายไม่ใช่จ้า ต้องไปทางซ้ายตังหาก (ทางเดินชันกว่าถนนสายกาน้ำชามากๆ หึๆ น่าอายที่สุด) บอกแล้วทริปนี้มันคือ “Lost in Japan” จะให้เดินชิลๆ ไม่ได้ เราต้องคงคอนเซ็ปต์ไว้ตั้งแต่วันแรก ยันวันสุดท้าย ยังไงเพื่อนๆ อ่านรีวิวก็อย่าเอาเยี่ยงอย่างนะคะ อิอิ
เรื่องภาษาไม่มีปัญหากับการซื้อตั๋วอยู่แล้วค่ะ แค่ชูนิ้วตามจำนวนคนที่จะซื้อแล้วจ่ายเงินเป็นอันเสร็จ ค่าเข้าวัดคิโยมิสึคนละ 300 เยน ถ้าช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเยอะๆ ที่นี่จะเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆ เลยล่ะค่ะ ฮือ พูดอีกก็เศร้าอีก อดเห็นสีสดๆ ของใบไม้เลย
มุมมหาชนของทุกคนคือ บริเวณระเบียงไม้ที่ยื่นออกมาทำให้เห็นโครงสร้างที่ทำจากเสาไม้กว่าร้อยต้นโดยไม่ใช้ตะปูซักตัวเลยค่ะ นี่คือภูมิปัญญาช่างไม้ของญี่ปุ่นที่ใช้วิธีเข้าลิ่มไม้นั่นเองค่ะ (นับถือจริงๆ)
ถึงแล้ววัดน้ำใส
ถ่ายแบบกันหรอจ๊ะหนุ่มๆ
ศาลเจ้าด้านบนมีหินแห่งความรักด้วยนะ
มุมมหาชนจริงๆ
ใบไม้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
คนต่อคิวดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์
เสร็จสรรพจากการไหว้พระ ชมวิวแล้ว ก็รู้สึกตระหงิดๆ ในใจว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ ชั้นมีดวงจะต้องเสียทรัพย์หลายพันเยน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อก้าวเท้าสู่ “ถนนสายกาน้ำชา” ถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายกาน้ำชา เครื่องปั้นดินเผา รวมถึงขนม ของฝากมากมาย คือเลือกไม่ถูกว่าจะจับจ่ายร้านไหนก่อนดี งั้นเลือกเข้าร้านที่ขายขนมก่อนเลยแล้วกัน ตรงจริตที่สุดแล้ว
ถนนยอดฮิต
ขนมที่ส้มคิดว่าต้องซื้อเมื่อมาเกียวโตคือ “โมจิ” สไตล์ “เกียวโต” จะมีลักษณะเป็นแป้งสามเหลี่ยมห่อด้วยไส้ต่างๆ ที่ส้มชอบมากคือแบบที่มีกลิ่นกล้วยค่ะ หอมมาก หอมกว่าโตเกียวบานาน่าอีกนะจะบอกให้ มีขายทุกร้าน หลายร้านมีให้เราชิมก็ชิมโลดค่ะ จะได้รู้ว่าถูกใจรึเปล่าเนอะ
โมจิแบบเกียวโต
คุณสามีบอกว่าอร่อย (ไส้ชาเขียว)
แวะกินขนมซักหน่อย
เส้นทางที่ส้มขอแนะนำในการเดินทางจากวัดไปย่านกิออน ขอเสนอเส้นทาง “ย่านฮิกาชิยามา” (Higashiyama) คือเมื่อเราเดินจากวัดลงมาที่ถนนสายกาน้ำชาได้ซักครึ่งทาง จะเห็นถนนเล็กๆ ที่แยกออกไปทางขวามือ ให้เพื่อนๆ เดินลงเนินไปเส้นนั้นเลยค่ะ สิ่งที่จะได้เห็นคือเสน่ห์ของบ้านโบราณที่ปรับเป็นร้านค้า โดยเฉพาะคาเฟ่ ขอบอกว่าบรรยากาศน่านั่งที่สุด ใครมีเวลาลองแวะไปซึมซับบรรยากาศแบบฉบับญี่ปุ่นโบราณที่นี่ได้นะคะ
แนะนำเส้นทางนี้ต้องมานะ มันฟินมาก
คาเฟ่แสนเก๋
คนที่ต้องการไปที่สวนสาธารณะมารุยามะ (Maruyama Koen) , ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) และย่านกิออน (Gion) สามารถใช้เส้นทางนี้ได้เลยค่ะ ระยะทางอาจไกลหน่อยแต่มีสิ่งสวยๆ งามๆ ให้เราได้ชื่นชมตลอดเส้นทางส้มว่ามันคุ้มค่ามากๆ นะคะ (ดีกว่าเดินเลาะถนนใหญ่เยอะเลยค่ะ)
ถึงเดินไกล แต่มีมุมให้ถ่ายภาพมากมาย
ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)
จริงๆ ไม่ได้วางแผนไปที่นี่ แต่เพราะศาลเจ้ายาซากะอยู่ระหว่างทางที่เราจะไปย่านกิออนพอดี เลยขอแวะชมด้านในซักหน่อย (ไม่มีค่าเข้าจ้า) ศาลเจ้าแห่งนี้มีจุดเด่นตรงศาลาที่มีโคมไฟสีขาวหลายร้อยอันแขวนอยู่ ชาวญี่ปุ่นมาขอพรที่นี่ไม่ขาดสายส้มได้ทีเลยขอต่อแถวขอพรด้วยคน
ด้านหน้าศาลเจ้ายาซากะ
ความคึกคักในเมืองเกียวโต
ย่านกิออน
มาเกียวโตทั้งทีไม่มา “ย่านกิออน” (Gion) ได้ไง แม้บางคนจะบอกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย แค่เดินถ่ายรูปนิดหน่อยก็พอแล้ว แต่ส้มขอแนะนำอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากๆ จากนักท่องเที่ยว (ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง) นั่นคือการแสดงใน “Gion Corner”
“Gion Corner” เป็นการจัดแสดงศิลปะ วัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น เช่น พิธีชงชา, การจัดดอกไม้ และการร่ายรำของไมโกะ เป็นต้น แสดงทั้งหมด 2 รอบต่อวัน ได้แก่เวลา 18.00 น. และ 19.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 2,500 เยน (สำหรับคนที่ถือถุงช้อปมามากมายมหาศาล ขอให้แวะไปฝากกระเป๋าที่ Coin Locker ในสถานีรถไฟ Gion Shijo ก่อนนะคะ จะได้ไม่เกะกะเวลานั่งชมการแสดง)
ที่นี่จะจำหน่ายตั๋วก่อนเข้าชมครึ่งชั่วโมง เช่น แสดง 18.00 น. เปิดขาย 17.30 น. แต่ส้มคิดว่าควรไปต่อซักตอน 17.00 น. เพราะถ้ามาตอนเวลาจำหน่ายตั๋วพอดีจะเจอแถวที่ยาวมาก เพื่อนๆ อาจเป็นผู้โชคดีได้ตีตั๋วยืนแต่จ่ายราคาตั๋วนั่งนะคะ
พอเพื่อนๆ ซื้อตั๋วเสร็จแล้วให้เข้าไปเลือกที่นั่งได้ตามอัธยาศัย ส้มต่อคิวเป็นคนที่ 4 แต่ดันไม่นั่งแถวหน้าสุด เพราะคิดเอาเองว่าจะต้องแหงนหน้าเยอะ เลยมานั่งตรงกลางแถวที่ 3 สุดท้ายคิดผิดจ้า ถ่ายรูปลำบากมาก ติดหัวคนนั้นคนนี้ไปทั่ว เศร้าใจจริงๆ (ตลอดการแสดงเพื่อนๆ สามารถถ่ายภาพได้แต่ห้ามเปิดแฟลชและไม่รบกวนผู้อื่นจนเกินไปนะคะ)
การแสดงที่ Gion Corner ถึงแม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่ทำให้ผู้ชมได้รู้จักวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นมากขึ้น การมาท่องเที่ยวมิใช่เพียงเพื่อความสนุกสนานอย่างเดียว แต่มันรวมไปถึงการที่เราได้เรียนรู้ชีวิตผู้คนที่นั่นเพื่อเข้าใจเค้าให้มากขึ้นด้วยนะคะ
ปล.6 มาเกียวโตครั้งนี้ ส้มไม่ได้ไปเที่ยวที่วัดคินคะคุจิ หรือวัดทองนะคะ ถึงจะอยากไปแต่วัดทองมันอยู่นอกเส้นทางสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่ส้มไป อีกอย่างส้มก็เคยไปที่นี่มาแล้วครั้งนึง สุดท้ายตัดใจไม่ไปดีกว่า
“Gion” ย่านนี้ต้องมา เพราะจะได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นในอดีต
Gion Corner
ที่นั่งมีไม่เยอะ รีบๆ มาจองคิวกันตั้งแต่เนิ่นๆ นะคะ
การแสดงต่างๆ
มื้อเย็นขอฝากท้องที่ “ร้านราเมนข้อสอบ”
หลังจากชมการแสดงแล้วก็ออกมาถ่ายภาพบรรยากาศร้านค้า บ้านเรือนบริเวณกิออนซักหน่อย แล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นค่ะ ตอนแรกวางแผนไปทานบุฟเฟต์คุชิคัตสึที่ร้าน Kushiya Monogatari เพราะดูจากรายการ “มาจิเดะ เจแปน” คุณอุ้ม พิธีกรรายการบอกว่าร้านตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสถานี Gion Shijo ที่ไหนได้ ห่างเป็นกิโล หึหึ!!
แต่ความเจ็บปวดที่ได้จากการเดินทางมันยังไม่เพียงพอ ต้องเจ็บให้สุดไปเลย เพราะภาพที่เห็นเมื่อมาถึงร้านคือ “ความว่างเปล่า” ฮ่ะ!! ร้านปิดกิจการไปแล้ว ไอ้ที่เดินหาร้านร่วมชั่วโมงมันคืออะไร??? ยังดีนะที่ตรงนั้นมีร้านราเมนชื่อดังตั้งอยู่ด้วย กินร้านนี้นี่แหละ ไม่คงไม่คิดมันแล้ว (สวรรค์ยังเมตตาลูกช้างอยู่)
“ร้าน ICHIRAN Raman” หรือที่คนไทยตั้งชื่อให้ว่า “ราเมนข้อสอบ” สาเหตุที่เรียกแบบนั้นมาจากลักษณะการสั่งอาหารและที่นั่งของร้านที่เป็นเอกลักษณ์นั่นเองค่ะ
ขั้นตอนการรับประทานอาหารที่ร้านราเมนข้อสอบ 1) กดเลือกเมนูที่ต้องการจากตู้กดอัตโนมัติ จากนั้นใส่เงินไปตามจำนวนของที่สั่ง 2) ต่อแถวรอโต๊ะว่าง พนักงานจะถามว่าเรามากันกี่คน เพราะจะเลือกที่นั่งแบบติดกันให้ 3) ระหว่างรอที่นั่ง หรือเมื่อได้ที่นั่งแล้ว พนักงานจะนำใบสั่งอาหารมาให้ และนี่แหละคือที่มาของคำว่า “ราเมนข้อสอบ” เพราะจะมีรายการเป็นข้อๆ ให้เราติ๊กถูก เช่น เลือกความเข้มข้นของซุป , ความเผ็ด และความนุ่มของเส้น ส่วนที่นั่งมีลักษณะเป็นล็อกของใครของมัน (จริงๆ อยากเรียกเป็นคอกมากกว่า อารมณ์เหมือนเข้าคูหาเลือกตั้ง) 4) เมื่อเรากรอกทุกข้อแล้วให้กดกริ่งที่โต๊ะ เพื่อเรียกพนักงานมารับออเดอร์ รอซักครู่ราเมนร้อนๆ ที่ใส่ทุกอย่างตามที่เราชอบก็มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า
กดรายการอาหารที่ต้องการ
เมื่อหยอดเงินตามจำนวนแล้ว จะได้กระดาษจิ๋วนี้มา เป็นอันว่าจ่ายตังค์เรียบร้อยแล้ว (เครื่องสามารถทอนเงินได้)
พนักงานจะให้ข้อสอบมาทำ 555
เมื่อได้ที่นั่ง พนักงานจะมาเรียกเข้าคอก เอ้ย เข้าที่นั่ง
ล็อกใครล็อกมัน เหมาะกับคนโสดดีนะ
ขั้นตอนการสั่งอาหาร
รสชาติของราเมนอร่อยใช้ได้เลยค่ะ คงเพราะเราได้เลือกสิ่งที่อยากทานและรสชาติที่เราชอบ เผลอแป๊บเดียวราเมนชามใหญ่ก็หายไปในพริบตา อากาศหนาวๆ ได้กินราเมนร้อนๆ ฟินอย่าบอกใคร (สาขานี้อยู่บริเวณถนน Takoyakushi-dori คนต่อแถวน้อยกว่าที่ Dotonbori เยอะเลย สบ๊าย สบาย)
มาแล้วราเมนร้อนๆ ตามความชอบของเรา
เร็วปานพายุ หมดในพริบตา (ชามของสามีนะคะ)
เวลาท่องเที่ยวแต่ละวันผ่านไปเร็วมากค่ะ มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบ 3 ทุ่มแล้วค่ะ ส้มตัดสินใจนั่งรถไฟ JR กลับเมืองโอซาก้า เพราะใช้เวลาน้อยกว่านั่ง Subway แถมไม่ต้องต่อรถหลายสายด้วย งานนี้ Kansai Thru Pass จึงหมดความหมาย เพราะเราต้องเสียเงินซื้อตั๋ว JR สำหรับขากลับใหม่เลย แต่ส้มยอมแลกกับการได้กลับที่พักเร็วๆ นะคะ เพราะตอนนี้ตาจะปิดอยู่แล้ว (มาคิดดูตอนหลัง เราใช้บัตร Kansai Thru Pass ไม่คุ้มเอาซะเลย)
ขากลับขอใช้บริการ JR แล้วกัน
ก่อนถึงโรงแรมขอแว๊บเข้าไปซื้อโอเด้งและข้าวปั้นกินอีกรอบ (ราเมนมันย่อยไวมาก) จากนั้นก็อาบน้ำและสลบอีกตามเคย ทริปนี้เท้ารับภาระหนักมากค่ะ ระบมสุดๆ ถ้ามันพูดได้คงอยากบอกว่า “กลับเมืองไทยเถอะ ตูเมื่อย!!!”
สำหรับ Part 1 ขอจบลงเพียงเท่านี้นะคะ (เพื่อนๆ คิดในใจ จบได้ซะทีนะแก 555) ส่วน Part 2 ส้มจะพาทุกคนไปชมป่าไผ่ นั่งรถไฟสายโรแมนติก และแช่ออนเซ็นกันค่ะ ใครมีแพลนจะไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้ห้ามพลาดนะคะ แล้วพบกันใหม่เร็วๆ นี้นะคะ บ๊ายบาย
ลิ๊งค์ Part 2 https://www.i-som.com/?p=3203
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand