Travel to the Romantic Road in Austria…ออสเตรียในวันใบไม้เปลี่ยนสี (Part 2)

On กันยายน 23, 2014 by admin

 

หลังจาก Part 1 เราได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติกท่ามกลางธรรมชาติที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาบเซ็นต์วูฟกังไปแล้ว วันนี้เรายังมีสุดยอดเมืองท่องเที่ยวที่รับรองว่าหากคุณไปเยือนแล้วจะไม่มีวันลืมภาพความสวยงามแน่นอน ส้มกำลังพูดถึงเมืองฮัลสตัท (Hallstatt) อยู่ค่ะ สำหรับเสื้อผ้าในวันนี้ต้องแต่งแบบทะมัดทะแมงหน่อยนะคะ เพราะพวกเราจะได้ไปเล่นสไลเดอร์ที่เหมืองเกลือกันด้วยจ้า ย่ะฮู่

ปล. รีวิวตอนที่ 2 นี้ รูปเพียบเลยค่ะเพื่อนๆ คือวิวมันสวยไปหมดจนไม่รู้จะคัดรูปไหนออก ก็เลยเอามาซะเกือบหมดเลย แหะๆ

ก่อนไปเที่ยวต้องเสริมพลังด้วยอาหารเช้าก่อน (วิวจากห้องอาหารสุดยอด)


เติมพลังแล้ว ขอเก็บตกบรรยากาศเมืองเซ็นต์วูฟกัง ซักนิด

หน้าโรงแรม….ฉันรักที่นี่จัง

 

วันที่ 4 : เล่นสไดเดอร์ในเหมืองเกลือ-ชมความงามเมืองริมทะเลสาบสวยที่สุดในโลก

เมืองฮัลสตัท (Hallstatt)

ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลกเลยค่ะ นอกเหนือจากความงามแล้ว ที่นี่ยังมีเหมืองเกลือขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย วันนี้ก่อนที่เราจะไปเดินเล่นในเมืองเราจะไปเป็นชาวเหมืองเกลือแบบในอดีตกันก่อนนะคะ ขอบอกว่าขนาดยังไม่ทันได้เข้าไปด้านในจุดชุมชนมากนัก แค่ลาดจอดรถวิวก็สวรรค์ชัดๆ แล้วค่ะ

นี่วิวลานจอดรถที่สวยสุดในปฐพีป่าวเนี๊ยะ

หันหลังกลับจากลานจอดรถ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือสิ่งนี้ค่ะ…มองเห็นเมืองแล้ววว

ทะเลสาบสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ยิ่งยามเช้าแบบนี้ด้วย เกินบรรยายจริงๆ ค่ะ


ดาราหน้ากล้องเช้าวันนี้

 

“เหมืองเกลือ” (Salt Mine of hallstatt) แห่งนี้มีความรู้และความสนุกสนานรอให้นักท่องเที่ยวไปสัมผัส แต่วิธีการไปเหมืองก็ไม่ธรรมดา ต้องนั่งรถรางที่สูงชันขึ้นไปบนเขา แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 1-2 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ตั้งสำนักงาน ปัจจุบันเหมืองเกลือแห่งนี้ไม่ได้ผลิตเกลือแล้วค่ะ แต่เค้าได้ปรับโฉมใหม่ให้เป็นสถานที่แห่งการเรียนรู้ เช่น ชมสาธิตการทำเหมืองเกลือ  หุ่นจำลองชีวิตชาวเหมือง เป็นต้น

เดินลัดซอยบ้านคนอื่นไป ก็แอบส่องบ้านเค้าไปด้วย อิอิ

ซื้อตั๋วขึ้นรถรางและเข้าเหมืองก่อนนะ

แถ่น..แทน..แท้น นั่นไงรถราง ทั้งสูงทั้งชัน แอบหวั่นเหมือนกันนะตัวเธอ

มองลงมาจากรถราง

ถึงสูงแต่สวย

ลงจากรถรางแล้ว ต้องเดินต่อไปตามเนินเขาอีกพักนึง (เส้นทางเล่นเอาเราหอบเหมือนกันค่ะ)

เย้ๆ ถึงแล้ว อาคารข้างหน้านั้นไง

มองจากด้านบนก็สวยดีนะ

 

ก่อนจะเข้าไปภายในเหมือง ทุกคนต้องมาสวมชุดชาวเหมืองทับเสื้อผ้าของเราก่อน ชุดเราจะได้ไม่เปื้อนแถมทำให้อินจนคิดอยากเป็นชาวเหมืองกันเลยทีเดียว แต่พอแต่งออกมาทำไมมันเหมือนชุดผู้ป่วยในโรงพยาบาลบ้าฟ่ะ!!!

เอิ่ม….ชุดชาวเหมืองจริงๆ หรอ (นี่หลุดมาจากหลังคาแดงชัดๆ)

โซนนิทรรศการ…มองนานๆ แล้วแอบกลัว

คนนี้ก็ไม่ได้หลุดจากหลังคาแดง แต่คือแฟนอีชั้นเอง 555

 

เข้ามาด้านในเหมืองรู้สึกเย็นขึ้นอีกเยอะเลย ในนี้เป็นทางมืดๆ ชื้นๆ แต่มีไฟนำทางตลอด ทั้ง 2 ข้างทางเราจะเห็นเกล็ดเกลือระยิบระยับอย่างกับอัญมณีเลยค่ะ เจ้าหน้าที่จะพาเราไปยังจุดต่างๆ เพื่ออธิบายประวัติของเหมืองแห่งนี้ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ชาวเหมืองทำงานยังไง ฟังแล้วก็เพลินดีนะคะ ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้อัศจรรย์จริงๆ

เข้าแถวๆ รอบุกเหมืองเกลือกันเถอะ พวกเรา!!!

ทางแคบๆ มืดๆ “เจนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง” จริงๆ นะคะ อิอิ

ดูจอโปรเจคเตอร์พี่ท่าน อลังไปไหน

ระหว่างทางเดินก็มีการจำลองบรรยากาศการทำเหมืองให้เราดู

 

เดินมาเรื่อยๆ ก็มาถึงสิ่งที่ส้มรอคอยแล้ว แถ่น..แทน..แท้น “สไลเดอร์” ในเหมืองนั่นเองค่ะ สไลเดอร์นี้คือเส้นทางที่ชาวเหมืองได้ใช้จริงๆ เพราะจะได้ไม่ต้องปืนป่ายให้เสียเวลา ไถลไปแป๊บเดียวถึงด้านล่างแล้ว ขอบอกว่ามันส์มาก อยากให้มีหลายๆ จุด เสียดายเค้าให้เราเล่นแค่ 2 จุดเอง

ปล.1 เกร็ดความรู้ที่ได้จากไกด์ สมัยก่อนเกลือเป็นของหายากและมีราคาสูงมาก เกลือจึงเป็นเครื่องบอกฐานะของบ้านนั้นๆ ด้วยนะจ๊ะ /ที่มาของคำว่า Salary มาจากคำว่า Salt นี่แหละ)

ภาพสไลเดอร์ (ภาพนิ่งอาจมองไม่ออกว่าเล่นยังไง ส้มเลยอัพคลิปสั้นๆ มาเผื่อเพื่อนๆ ด้วยค่ะ)

ระหว่างทางเดินกลับไปขึ้นรถราง มีจุดชมวิวสวยๆ อย่าลืมแวะกันนะคะ

มื้อเที่ยงวันนี้ได้ทานช้าหน่อย เพราะกว่าจะหอบร่างที่แสนเหนื่อยล้าจากการปืนป่ายขึ้น-ลงเขา แล้วยังต้องเดินจากลานจอดรถเข้ามาในเมืองฮัลสตัทอีกตังหาก (ถนนในเมืองฮัลสตัท รถใหญ่ไม่สามารถเข้าไปได้ค่ะ) อาหารคาวมื้อนี้รสชาติเฉยๆ เรียกว่ากินแก้หิวพอ แต่ของหวานอร่อยอยู่นะจ๊ะ

อาหารเที่ยงของเราในวันนี้

หลังร้านก็ถ่ายรูปสวยนะจะบอกให้


กิจกรรมต่อมาคือการ “ล่องเรือชมทะเลสาบ” อันนี้อย่างฟิน อากาศก็ดี วิวก็งาม โกโก้ร้อนก็อร่อย ณ จุดนี้สุขเหลือเกิน เชื่อมั้ยคะว่าขนาดคนไม่ชอบถ่ายรูปยังอดไม่ได้ที่จะยกมือถือมาเก็บภาพความทรงจำรอบข้างไว้ เพราะมันสวยจริงๆ สมแล้วที่หลายคนให้สมญานามว่านี่คือเมืองริมทะเลสาบที่สวยสุดในโลก พอล่องเรือเสร็จก็มาเดินเล่นรอบเมืองต่อ อุตส่าห์ได้มาทั้งทีขอซึมซับให้ได้มากที่สุดแล้วกัน

ไปล่องเรือกันเถอะ

ทิวทัศน์สองฝั่งทะเลสาบมันเกินคำว่าสวยอีกค่ะ

บ้านเรือนเค้ามันมีเสน่ห์มากเลย

ทั้งแม่น้ำ ทั้งภูเขา คนที่นี่คงมีความสุขน่าดูเนอะ

เที่ยวยุโรปช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นอะไรที่โรแมนติกมากค่ะ

ล่องเรือมาถึงมุมมหาชนที่ทุกคนต้องยกกล้องถ่ายภาพแล้วค่ะ

ล่องเรือชมวิวยังไม่หนำใจ เดินชมเมืองต่อเลยแล้วกันนะ

พายเรือก็เป็นอีกกิจกรรมที่น่าสนใจ

บอกเลยว่าเมืองฮัลสตัท เป็นสถานที่ที่มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก (ถูกใจคนบ้ากล้องสุดๆ)

บ้านเมืองก็น่ารัก แต่ไม่รู้ผู้คนหายไปไหนหมด ไม่ค่อยเห็นคนท้องถิ่นเลย (หรือเค้าเบื่อนักท่องเที่ยวอย่างเรา แหะๆ)

อาคารนี้ก็เป็นอีกที่พักนึงในเครือโรงแรมเราคืนนี้ค่ะ มองจากด้านนอกดูหลอนๆ แต่พี่ที่ไปพักบอกด้านในงามมาก

ลานตรงนี้ก็สวย

คนแถวนี้เค้าคงไปทำงานที่อื่น (มั้ง) เงียบเชียว

บ้านนี้สีหวานได้อีก

เจ้าของบ้านไม่อยู่ นักท่องเที่ยวร่าเริง

ต้นอะไรไม่รู้มันขึ้นตามกำแพง สวยดีค่ะ

มีร้านขายไม้แกะสลักน่ารักมาก

ทำไมเมืองนี้มองไปทางไหนก็ง๊าม งาม

ถึงมุมไฮไลน์ของเมืองแล้ว มุมแบบนี้เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนชอบถ่าย ส้มเลยขอตามรอยด้วย

มาเยือนแล้วนะ

ลองเดินขึ้นไปบนโบสถ์ เพื่อชมวิวมุมสูง

ทางเดินลงมาจากโบสถ์ คลาสสิกเจงๆ

พอรู้จากไกด์ว่าวันนี้ต้องกินปลาเทราต์อีกแล้ว เลยไปกินเคบับร้านหนึ่งเดียวในฮัลสตัท

 

คืนนี้เรานอนกันที่ “Heritage Hallstatt Hotel” เนื่องจากเรามาคณะใหญ่ห้องพักริมทะเลสาบตรงนี้จึงไม่เพียงพอ ทัวร์เลยต้องให้ลูกทัวร์แยกไปอาคารอื่นของโรงแรมที่ห่างจากจุดนี้ออกไป แต่เวลาทานอาหารเย็น-เช้า ต้องเดินมาทานที่นี่ ห้องพักกว้างขวางดี สะอาด และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเลยค่ะ

หน้าโรงแรม (อาคารหลัก แต่ส้มไปพักอีกตึกนึงที่ต้องเดินขึ้นเนินไปอีกค่ะ)

พรมยังคงคอนเซ็ปต์

ภายในห้องกว้างขวางมากค่ะ

วิวจากหน้าต่างห้อง มองเห็นทะเลสาบเลย

อาหารค่ำวันนี้มีปลาเทราต์ (อีกแล้ว) และของหวานที่หลอกหลอนเราหลายมื้อนั่นคือ “แอ๊ปเปิ้ล สตรูเดิ้ล” (Apple strudel)  คือมันไม่อร่อยอย่างแรงอ่ะ

ยืมแก้วไวน์คนอื่นมาเป็นพร๊อพ

 

วันที่ 5 : เยือนเมือง MELK และมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงกรุงเวียนนา

การมาเที่ยวทำไมเวลามันชั่งผ่านไปไวเหลือเกิน แป๊บเดียวเข้าสู่วันที่ 5 อีกแค่ 2 วันก็ต้องกลับเมืองไทยไปอยู่กับความเป็นจริงกันแล้วล่ะค่ะ ถึงจะเป็นวันที่ 5 แต่ที่เที่ยวเด็ดๆ ในประเทศออสเตรียยังไม่หมดนะคะ วันนี้เราจะไปชม “สำนักสงฆ์เมลค์ โมนาสเทอรี่” ที่หรูหรา เวอร์วัง อลังการ งั้นไปดูกันดีกว่าค่ะ

เรานั่งเรือแบบเมื่อวานนี้มายังที่จอดรถค่ะ ขอมองวิวของเมืองก่อนลา

ล่องเรือยามเช้าอีกรอบ ฟินเวอร์

เป็ดน้อยน่ารัก

ตกปลาได้กี่ตัวแล้วพี่

 

เมืองเมลค์ (MELK)

“สำนักสงฆ์เมลค์ โมนาสเทอรี่” (MELK MONASTERY) ภายในแบ่งเป็นห้องสมุดโบราณที่มีหนังสือกว่าหมื่นเล่ม, ห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติของเมลค์แอบบี้ ในแบบ MODERN EXIBITION , ห้องเก็บฟันกรามของนักบุญโคลแนน สำนักสงฆ์ก่อสร้างในยุคเฟื่องฟูสูงสุดของสถาปัตยกรรมแบบบารอคที่สวยที่สุดในประเทศ และถือว่าเป็นจุดสูงสุดของสถาปัตยกรรมของบารอค ดังคำที่ว่า “สรวงสววรค์ที่อยู่บนดิน” (ข้อมูลที่ได้จากบริษัททัวร์)

ถึงแล้ว…สำนักสงฆ์เมลค์ โมนาสเทอรี่

มองจากตรงนี้เห็นเมืองแบบพาโนราม่า

ทางเข้าสำนักสงฆ์

อาคารสีเหลืองอร่าม

ด้านใน

มีสิ่งสวยงามทางประวัติศาสตร์มากมาย

ตู้เซฟสมัยก่อน กลไกไม่ธรรมดา

โรงศพใช้ตอนที่ประชาชนเป็นกาฬโรคกันมาก

ภาพจิตกรรมบนผนังห้องโถง อลังการสุดๆ

ชมความงามภายนอกกันบ้าง

ประตูจะใหญ่ไปไหนเนี๊ยะ คนเหลือตัวกระเปี๊ยกเลย

ชอบบริเวณนี้ที่สุด เหมือนด้านในโบสถ์อะไรทำนองนั้น

 

ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์รึเปล่า ร้านรวงในบริเวณนั้นถึงปิดประตูตีแมว ไม่ใช่!! ปิดร้านพักผ่อนกันเป็นทิวแถว เราเลยได้แต่เดินแบบเหงาไปกินอาหารกลางวันที่เค็มที่สุดเท่าที่เคยกินมาในทริปนี้ ไม่รู้เมนูไก่ของพี่ท่านนั้นเกลือหกลงไปกี่ช้อน

เดินไปกินข้าวกันเถอะ

เมืองเงียบจัง

ใบไม้สีสวย

เป็นไก่ที่เค็มสุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิตเลยค่ะ

 

กินอาหารเค็มๆ ไปแล้ว ทัวร์ใจดีพาเราไปปลอบใจด้วยการ “ล่องเรือในแม่น้ำดานูบ” เพื่อชมความงามของสถาปัตยกรรมตลอด 2 ฝั่งแม่น้ำ มีหลายคนบอกว่าวิวริมแม่น้ำดานูบสวยมาก แต่ไม่รู้เป็นเพราะจุดที่ส้มล่องมันไม่สวยหรืออย่างไร ส้มจึงไม่ค่อยเห็นอะไรอย่างที่เค้าว่าเลย (บนดาดฟ้าเรือฝรั่งมังคุดสูบบุหรี่กันเพียบ เหม็นมาก เศร้าใจ)

แอบผิดหวังกับการล่องแม่น้ำดานูบพอสมควร แต่ไม่เป็นไรพี่ไกด์บอกว่าวันนี้มีอาหารแสนอร่อยรอชาวคณะอยู่ รับรองไม่ผิดหวังในรสชาติแน่นอน แต่เราต้องนั่งรถไปที่กรุงเวียนนาจ้า

ได้เวลาขึ้นเรือกันแล้ว

บนดาดฟ้าได้รับความนิยมที่สุด

นี่คือวิวสองข้างทางระหว่างล่องแม่น้ำดานูบ

ท่าเรืออีกจุดที่ไว้รับ-ส่ง ลูกค้า

บรรยากาศระหว่างเดินมาลานจอดรถ

 

กรุงเวียนนา (Vienna)

เมืองหลวงของสาธารณรัฐออสเตรีย สิ่งที่สะดุดตาคือสถาปัตยกรรมที่สวยมากๆ (รู้สึกรีวิวชุดนี้ใช้คำว่า “สวยงาม” เปลืองมาก 555) มันดูโอ่อ่า อลังการ มีรายละเอียด แต่เสียดายที่เรามาถึงเกือบค่ำแล้วจึงไม่มีเวลาเดินเล่น แค่มาเช็คอินเก็บกระเป๋า ตะวันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ไม่เป็นไรไปทานดินเนอร์ที่พี่ไกด์การันตีว่าอร่อยนักอร่อยหนากันดีกว่าค่ะ

กว่าจะถึงเวียนนาก็ใกล้ค่ำแล้ว เลยทำได้เพียงถ่ายรูปจากบนรถบัส

 

Salm brau” ร้านอาหารชื่อดังในกรุงเวียนนา มีชื่อเสียงในเมนู Pork Rib มากๆ ส้มพิสูจน์หลายชิ้นเลยค่ะ อร่อยจริงๆ ด้วย จะกินคู่เบียร์ก็ได้นะ เห็นหลายคนสั่งเค้าบอกว่าเข้ากั๊นเข้ากัน

ดูจากแถวที่รอเข้าร้านก็รู้แล้วว่าที่นี่ดังจริง

มีเดลิเวอรี่มาที่เมืองไทยมั้ยคะ

ถ่ายรูปมาดูไม่ค่อยน่ากิน แต่จริงๆ น่ากินมว๊ากก (พอดีร้านมันมืดน่ะค่ะ)

 

ที่พักเราคืนที่ 5 คือ “Austria Trend Savoyen” ดีใจจังโรงแรมทริปนี้ดีงามทั้งนั้น ขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีทุกท่านที่ให้โอกาสหนูมาเที่ยวในครั้งนี้นะคะ อยากบอกว่าหนูรักทุกคนจริงๆ ค่ะ (กราบงามๆ)

เย้ๆ ได้ห้องกว้างๆ อีกแล้ว ชอบจุงเบย

สิ่งอำนวยความสะดวกครบ

 

ตอนที่ 2 จบลงด้วยความอิ่มหนำสำราญกับธรรมชาติแสนสวยงามที่เราได้เห็นตลอดระยะเวลา 2 วัน ตอนหน้าส้มรับรองว่าจะพาไปชมสถานที่เด็ดๆ ไม่แพ้ 5 วันที่ผ่านมาแน่นอนค่ะ ส่วนเรื่องอาหารแต่ละมื้อนั้นต้องรอลุ้นกันอีกทีว่าจะมีอะไรถูกปากชาวประชาบ้าง วันนี้ลาไปก่อนแล้ว บ๊ายบาย

ลิ๊งค์ Part 1 https://www.i-som.com/?p=2414

ลิ๊งค์ Part 3 https://www.i-som.com/?p=2426

 

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น