“หนีห่าว Beijing” ตะลอนกินเมนูพิสดาร

On พฤษภาคม 31, 2014 by admin

“หมู เห็ด เป็ด ไก่” วัตถุดิบเหล่านี้มันชั่งธรรมดาเสียเหลือเกินสำหรับดินแดนที่หลากหลายไปด้วยวัฒนธรรมการกิน วันนี้ส้มขอให้ทุกคนร่วมตะลอนกินไปกับส้มค่ะ เราจะไปพิชิตเมืองแห่งอาหาร ที่หากเทียบกับนักปืนเขาสถานที่แห่งนี้ก็เหมือนเทือกเขาเอเวอร์เรส ที่ไม่เป็นเพียงจุดหมายปลายทางที่ต้องการมาเยือน แต่ต้องการมาฝึกความกล้า ความท้าทายว่าใจเด็ดพอมั้ยที่จะลิ้มลองสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยแต่ที่ไหนนะจะมีอาหารแปลกแหวกแนวให้เราได้กินทุกวี่ทุกวัน ต๊อกติ๊กต๊อก เฉลย…ก็เมืองจีนไงคะ ที่จะทำให้การทานอาหารในแต่ละมื้อของเราเต็มไปด้วยความตื่นเต้น วันนี้ส้มขอให้ทุกคนเกาะแขนส้มแน่นๆ เราจะบุกตะลุยกินกันให้สมน้ำสมเนื้อกันไปเล้ย!!!

ถึงจะพูดว่าเมืองจีน แต่ครั้งนี้ขอพาไป “ปักกิ่ง” หรือที่เขียนในภาษาอังกฤษว่า “Beijing” ก่อนนะคะ แอบกระซิบว่าแค่เมืองเดียวก็ทำให้เราตะลึงไม่แพ้ใครแล้ว นึกถึงปักกิ่งอย่าเพิ่งคิดว่ามีแต่เป็ดปักกิ่งอย่างเดียวนะคะ นั่นน่ะแค่เสี้ยวเล็บของเหล่าอาหารที่พร้อมเดินขบวนพาเลซมาให้ชาวต่างถิ่นอย่างเราพิสูจน์ เมืองใหญ่แห่งนี้กับเวลาแค่ 4 วัน 3 คืน มันชั่งน้อยนิดเสียเหลือเกิน แต่ส้มก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ทั้งเติมความรู้จากการไปดูงาน เติมสีสันให้ชีวิตกับการท่องเที่ยว และเติมพลังให้พุงน้อยๆ นี้ให้อิ่มแปล้ทุกมื้อค่ะ ^_^

อย่างที่บอกค่ะว่าส้มบินลัดฟ้ามาสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้เพราะต้องไปศึกษาดูงาน ส้มเลยขอพ่วงการชมเมืองและทำภารกิจไปด้วย มันคืออะไรน่ะหรอค่ะ ก็การตามหาปลาดาวทอดนั่นเองค่ะ คือเคยเห็นในทีวีแล้วอยากรู้ว่ามันจะรสชาติยังไง นี่ถือเป็นภารกิจใหญ่ประจำทริปเลยนะคะ 555

ปล.1 รีวิวนี้ภาพอาจไม่สวยนักเพราะส่วนใหญ่ส้มใช้มือถือถ่าย แสงน้อยบ้าง ภาพสั่นบ้างต้องขออภัยด้วยค่ะ (^^”)

เราออกเดินทางจากเมืองไทยโดยสายการบินไทย เวลา 10.10 น. กว่าจะถึงสนามบินปักกิ่ง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ารถที่ติดโฮกๆ ก็ปาเข้าไป 6 โมงเย็นได้แล้วค่ะ วันแรกของเราจึงทำได้เพียงมากินเข้าเย็นและเข้าที่พัก ก่อนที่จะไปดูงานวันพรุ่งนี้ต่อค่ะ

วันแรกของการเยือนปักกิ่ง

ไฟลท์ของเราวันนี้ค่ะ

บินลัดฟ้าสู่มหานครแห่งอาหารกันค่ะ

มาถึงก็ใกล้มืดแล้วค่ะ

ปักกิ่งยังอยู่ในฤดูหนาวอยู่ เมืองแห่งนี้เลยไม่ค่อยมีสีสันนัก

สมกับเป็นเมืองใหญ่ระดับโลกจริงๆ ตึกเพียบ

สูงระฟ้า

มาเริ่มกันที่มื้อแรกของการเยือนประเทศมีที่ประชากรมากที่สุดในโลก ชาวจีนเขาเตรียมต้อนรับขับไล่ เอ้ย! ขับสู้ เหล่าคณะ VIP ที่มาดูงานเป็นอย่างดี (VIP นี่มโนเอาเองค่ะ 555) มื้อนี้จึงมิอาจเสิร์ฟอาหารทั่วไปได้ เดี๋ยวจะเป็นการไม่ให้เกียรติไท่กั๋วอย่างเราเกินไป พี่แกเลยเสนอดินเนอร์สุดพิเศษมาให้ชุดใหญ่ นั่งรออาหารอยู่เกือบชั่วโมง (นี่ขนาด VIP นะเนี๊ยะ) อาหารที่เราไม่รู้ว่าคืออะไรก็เผยโฉมออกมาให้เราได้เห็นแถ่น..แทน..แท้น

หน้าร้านอาหารมื้อแรกของเรา

ด้านในตกแต่งสวยเชียวค่ะ

นั่งตรงไหน เลือกเลย

แก้วสำหรับเหล้า MOUTAI เหล้าชื่อดังของเมืองจีนค่ะ

จานแรกมาถึง เอ…แล้วมันคืออะไร???

สีแดงฉานขนาดนั้น ใส่พริกไปกี่กระปุกครับพี่…  ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ คนจีนที่นั่งข้างๆ ก็อธิบายว่า “นี่คืออาหารเสฉวนแท้ๆ สีแดงที่เห็นคือพริกเสฉวน ถือเป็นวัตถุดิบหลักของอาหารเสฉวนเลยนะ” โอเคๆ เรื่องอาหารเผ็ดๆ ไทยแลนด์ไม่เคยแพ้ใคร ส้มตำสาดพริกมากำมือใหญ่ยังนั่งกินกันหน้าตาเฉย กะอีแค่ “พริกเสฉวน” สบายๆ

ก่อนที่จะตักคำแรกมาชิม พี่คนเดิมก็บอกต่อว่า “รสชาติอาหารเสฉวนเนี๊ยะอร่อยนะ แต่ยูอาจจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ เพราะพริกเสฉวนอาจทำให้รู้สึกเผ็ด ลิ้นซ่าแถมยังชาด้วยนะ

หืออออ อะไรคือ “ลิ้นซ่า” ไอ้อาหารเสฉวนน่ะเคยได้ยิน เคยกินด้วยซุปเสฉวนที่มันเปรี๊ยวๆ เหมือนพ่อครัวทำจิ๊กโฉ่วหกไปหลายช้อนอ่ะ แต่ว่ามันไม่ทำให้ลิ้นชา ลิ้นซ่าอะไรเลยนะ เฮ้ย! จินตนาการไม่ออกอ่ะ เกิดมาไม่เคยลิ้นซ่า คือมันจะรู้สึกเหมือนตอนกินโคล่าเปิดขวดใหม่ๆ ป่าวว้าาาา

คำถามพวกนั้นจะไม่ได้รับการเฉลย หากเรายังนิ่งเฉยไม่ยอมกิน สุดท้ายนักชิมมืออาชีพเยี่ยงเราเลยจัดไปเต็มๆ คำ (กลัวเขาว่าไม่ให้เกียรติ) คุณผู้โชมมมม!!! คำเดียวรู้ผล “นี่คืออาการลิ้นซ่าและชาไปพร้อมๆ กัน”

คือบรรยายไม่ถูกอะค่ะ ถึงตอนนี้จะให้บรรยายเป็นภาษาที่เข้าใจได้เนี๊ยะ ไม่สามารถจริงๆ รู้แต่ว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้ทำให้อาหารอร่อยเลย คือพอลิ้นชา ต่อมการรับรสอาหารมันทำงานน้อยลง มันกินอะไรแล้วไม่อร่อยเลย แถมรู้สึกซ่าๆ อีก กิน 1 คำ พัก 2 นาที (รอมันหายชาแต่มันไม่หาย โถ่ ชีวิต)

เจอคำแรกเข้าไป พี่ไทยมีอันต้องชะงักไปไม่ถูก ออกแนวเริ่มยึกๆ ยักๆ ไม่กล้ากินจานต่อไป แล้วอาหารของเขาที่เสิร์ฟเนี๊ยะ แดงฉานเกือบทุกจานและขนาดใหญ่เบิ้มมาก คืออาหารโต๊ะนึงเลี้ยงกันทั้งหมู่บ้านได้เลย แต่เขาอุตส่าห์เลี้ยงเราแล้ว จะนั่งเฉยๆ ให้เฮียแกเสียความรู้สึกก็ไม่ดี งานนี้เลยต้องจำใจกินแบบซ่าๆ ชาๆ ไปเรื่อยๆ ค่ะ

แดงมันทุกจาน

ผัดผักมีมั้ยพี่ หนูไม่ไหวแล้ว

สรุป…เหลือเพียบ เสียดายมากๆ อยากช่วยกินให้หมด แต่ไม่ไหวจริงๆ ค่ะ

มื้อแรกก็เปิดประสบการณ์กินของส้มมากๆ แล้วค่ะ แล้วเจ้ามื้อแรกนี้แหละที่ทำให้เราชาวคณะ ผวากับอาหารที่มีสีแดงๆ กลัวว่าจะใส่พริกเสฉวนมาให้เราชาลิ้นอีก จะกินอะไรทีหลอนชะมัด (T_T”)

อิ่มกันกับอาหารเสฉวนแล้ว (สาบานเถอะว่าอิ่ม ><”) ก็มาเช็คอินที่โรงแรม ครั้งนี้เรานอนที่ Jin Tai Hotel อยู่ไกลจากวงแหวน 1 พอสมควร (ในเมืองปักกิ่งเขาแบ่งเป็นวงแหวนน่ะค่ะ หากอยู่วงแหวนในๆ ก็พวกใจกลางเมือง (แถวจตุรัสเทียนอันเหมินอะไรเทือกๆ นั้น)

ขนาดห้องพักโอเคเลย แต่ที่ไม่ชอบมากๆ ตั้งแต่ที่สนามบิน ร้านอาหาร จนถึงห้องพักคือกลิ่นบุหรี่ค่ะ คนจีนเขาสูบบุหรี่กันทุกที่ ทั้งในรถ ร้านอาหาร ห้องแอร์ หรือแม้แต่ในห้องนอน!!! ควันนี่คละคลุ้ง กลิ่นติดเฟอร์นิเจอร์ เล่นเอานอนไม่ได้เลยค่ะ (ส้มเป็นคนแพ้กลิ่นบุหรี่น่ะ) เชื่อมั้ยค่ะแค่เรื่องสูบบุหรี่ไม่เป็นที่เรื่องเดียว ส้มถึงกับคิดหนักหากต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง แถมบวกการแซงคิว เสียงดัง ถุย ถ่มแล้วด้วย เล่นเอาเพลียเลยค่ะ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์นะคะ จะให้สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้านเราได้ไง แต่ละประเทศก็ต้องมีความแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา

ห้องพักเราตลอด 3 คืนต่อจากนี้ค่ะ

เช้าวันที่ 2 ดูงาน-ตะลอนกินต่อ

เช้าวันนี้เราต้องเดินทางไปดูงาน China Content Broadcasting Network (CCBN) งานนี้ยิ่งใหญ่อลังการมากค่ะ เทคโนโลยีเขาก้าวล้ำเกินไทยไปหลายขุม ถ้าอยากรู้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยเราจะใช้เทคโนโลยีอะไร ให้มาดูงานนี้ค่ะ โทรทัศน์ภาพคมชัดแบบ HD หรือ 3D พี่เขาเลยมาไกลแล้ว ตอนนี้เขาไปความชัดระดับ 4K แล้วค่ะ เรียกว่าชัดยันรูขุมขนอ่ะ

หน้างาน CCBN

วันนี้ส้มดูงานทั้งวัน ไม่มีตารางเที่ยวชมเมืองที่ไหน แต่เรื่องหาของอร่อย-แปลกกินเนี๊ยะ ส้มยังไม่ลืมนะคะ บริเวณงานส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารดีๆ น่ะค่ะ แต่เราไม่อยากเข้า เพราะอยากไปกินอาหารแบบท้องถิ่นและราคาถูกมากกว่า (อยากรู้ว่าคนท้องถิ่นเขากินอะไรกัน) ส้มเลยเดินลัดเลาะข้างทางมาเรื่อยๆ ก็เห็นคนจีนกลุ่มนึงเดินออกมาจากประตูร้านอะไรซักอย่าง สรุปมันคือซุปเปอร์มาร์เก็ตค่ะ โอ้ว! ตรงจริตเลย ต้องสำรวจกันหน่อยแล้ว

เดินหาร้านถูกใจไปเรื่อยๆ

พอเดินเข้ามาด้านในก็มีแผงขายอาหารคาว-หวานเล็กๆ อยู่สองสามร้าน เดินไปเรื่อยๆ ก็เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่ที่เด็ดกว่าคือเราเห็นศูนย์อาหารที่ชาวบ้านเขาซื้อทานกันอยู่ มีอยู่ประมาณ 10 ร้านค่ะ สภาพไม่ได้สะอาดอะไรมากมาย ขายอยู่ตรงข้ามกับอาหารสดเลย แต่ด้วยความอยากลองก็เลยได้เกี๊ยวน้ำมา 1 ชามใหญ่ค่ะ หน้าตาอาจไม่สวยแต่ขอบอกว่า “อร่อยมว๊ากกกก” แถมถูกด้วยค่ะ ราคา 9 หยวนเอง (คูณ 5 เข้าไปจะกลายเป็นเงินบาทค่ะ) ทีเด็ดอยู่ที่ไส้ของเกี๊ยวค่ะ เป็นผักผสมกับเนื้อหมู เนื้อไก่ หอมหวาน อร่อยมาก คำใหญ่ได้ใจดีด้วย

ศูนย์อาหารที่อยู่ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ต

เห็นมั้ยค่ะ อยู่ใกล้กับแผงอาหารสดเลย

ร้านเกี๊ยวของเราในรับความนิยมมากๆ

อดใจรอกินของอร่อย

มาแล้วววว  เกี๊ยวที่เรารอคอย อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

ของคาวหมดไป ก็มองของหวานต่อ แล้วส้มก็ได้ขนมปังไส้เนยจากร้านในซุปเปอร์มาลองกินค่ะ จริงๆ เขาขายทีละครึ่งโหลขึ้นไปนะคะ (คิดราคาเป็นขีด) แต่แม่ค้าเห็นเป็นนักท่องเที่ยวเลยอนุโลมให้ซื้อ 2 ชิ้นได้ ราคารวม 4.4 หยวนค่ะ รสชาติใช้ได้ ไม่ถึงกับอร่อยเหาะ แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ถ้ากินคู่กับน้ำชาจะเหมาะมาก เพราะเนื้อแป้งมันค่อนข้างแน่น กินเปล่าๆ แบบส้มมันฝืดคอน่ะค่ะ อิอิ

ไส้เป็นเนยจืดและครีมค่ะ

จริงๆ แค่เกี้ยว 1 ชามกับขนมอีก 2 ชิ้นเล็ก ไม่ทำให้ส้มกับคุณแฟนอิ่มหรอกค่ะ แต่ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรกินดีเลยเดินออกมาจากศูนย์อาหาร เตรียมกลับเข้างานต่อ

แต่แล้ว……สายตาก็ไปสะดุดกับแผงอาหารร้านนึง ทำไมคนรุมเยอะขนาดนั้น ส้มขอส่องกับเขาบ้าง พอเห็นรูปร่างก็ไม่รู้ว่าที่เขากินอยู่คืออะไร แต่ขอเรียกชื่อแบบที่ส้มตั้งเองว่า “โอเด้งจีน” คือมีหม้อใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำซุปสีสดและก็มีอาหารสารพัดอย่างเสียบไม้ต้มไว้ในน้ำซุป มีทั้งผักและเนื้อสัตว์เลยค่ะ เวลาใครจะทานอะไรก็บอกแม่ค้า เขาก็จะเอาใส่จานให้ ราคาไม้ละ 1 หยวน กินเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น

ร้านนี้่คนมุงจนร้านอื่นแอบอิจฉา

อย่างนี้ต้องลองค่ะ แต่จะสั่งยังไงพูดภาษาจีนก็ไม่ได้ วัจนภาษาไม่ได้เอาอวัจนภาษาแล้วกัน ภาษามือล้วนๆ ค่ะ อยากกินอะไรชี้เลย อาหารบางอย่างอยู่ไกลตัวหน่อย ต้องใช้เวลาชี้อยู่พักใหญ่เลยค่ะ 555

จะเลือกผัก ไส้กรอก หรือเนื้อสัตว์ก็ราคาเท่ากันหมดค่ะ

ร่วมแจมทันทีค่ะ

ต้องยืนกินนะคะ ไม่มีเก้าอี้แต่อย่างใด

2 คนทานไปทั้งหมด 12 ไม้ค่ะ อร่อยมาก เผ็ดนิดหน่อย น้ำซุปมันซึมเข้าไปทั่วชิ้นผักและเนื้อสัตว์ ฟิน

คราวนี้อิ่มซะที แต่ขอเดินดูสินค้าในซุปเปอร์แป๊บนึง ดูซิว่าคนจีนเขากินเขาใช้อะไรกันบ้าง พอดูหนำใจแล้วก็ต้องกลับเข้างาน CCBN ต่อค่ะ อู้มานานเกินไปแล้ว ^__^

จีนแท้ๆ ต้องมีของก๊อบ

ขอแทรกภาพบรรยากาศสวนสาธารณะยามเย็น เรายืนรอรถบัสแถวนี้ค่ะ

อากง อาม่า มุงดูเล่นเกมส์หมากรุกแบบตั้งใจมากๆ

มื้อเย็นอีกแล้ว

มื้อเที่ยงยังไม่ทันย่อยดี คณะเราก็มุ่งหน้าไปทานอาหารมื้อเย็นต่อเลยค่ะ มื้อนี้จะได้กินอะไรนะ แอบหวั่นใจว่าจะเป็นอะไรที่ชาลิ้นอีก 555

รถบัสพาเรามาลงตรงลานกว้างๆ จุดนี้คือย่านเมืองเก่าค่ะ เพราะที่นี่มีอาคารบ้านเรือนสมัยก่อน ที่ชาวจีนเขาอนุรักษ์ไว้ และก็ทำเป็นถนนคนเดิน แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของปักกิ่ง อากาศตอนเย็นๆ ดีมากค่ะ ถึงแม้ตอนที่ไปปักกิ่งยังประสบปัญหาเรื่องมลภาวะทางอากาศอยู่ก็ตาม

อุณหภูมิตอนนั้นประมาณ 10 กว่าองศา กำลังสบายเลยค่ะ ยิ่งมีผู้คนมาทำกิจกรรมต่างๆ ลานนี้ยิ่งดูมีสีสันมากขึ้นค่ะ (ได้ฟิลลิ่งสุดๆ) พ่อค้า แม่ค้า คนที่มาออกกำลังกาย หรือคุณลุงที่มาทดสอบพลังเสียงด้วยการร้องเพลงขับกล่อมคนแถวนั้น ส้มฟังแกเพลินไปเลยค่ะ ถึงแม้จะไม่รู้ความหมายก็เถอะ นี่แหละค่ะที่เขาว่า ดนตรีไม่มีพรมแดน

จักรยานเพียงหนึ่งคัน ก็เป็นที่ขายของเครื่องที่ได้แล้ว

ลุงมาร้องเพลงขับกล่อม

ชอบสตาร์ บัค สาขานี้มาก ไม่เหมือนที่ไหนดีค่ะ

ร้านอาหารมื้อเย็นของคณะเราในวันนี้ ต้องเดินเข้าไปในถนนคนเดินค่ะ ระหว่างเดินก็เห็นร้านค้า ผับบาร์เต็มไปหมด ถ้าส้มมีโอกาสได้กลับมาที่ปักกิ่งอีกครั้ง ส้มจะกลับมาเที่ยวที่นี่แน่นอนค่ะ (ก็มันบรรยากาศดีเวอร์อะ)

ถนนคนเดินอยู่ริมแม่น้ำ แค่ได้หยุดมองก็มีความสุขแล้วค่ะ

ร้านค้า-ผับบาร์ ในบรรยากาศเมืองจีนในอดีต

เดินมาได้ไม่นานก็ถึงหน้าร้าน มีรูปปั้นสิงโตคอยต้อนรับอยู่ค่ะ ร้านตกแต่งแบบจีนแท้ๆ พอมาถึงห้องรับประทานอาหาร ส้มถึงกับตะลึงกับขนาดโต๊ะอาหาร (จะใหญ่ไปไหนเนี๊ยะ) ส่วนเมนูวันนี้ไม่แปลกเท่าเมื่อวานค่ะ ส่วนใหญ่เป็นรสชาติที่คุ้นเคย จะมีแปลกก็คือเมนู “ปลิงทะเล” ค่ะ ส้มไม่เคยกินมาก่อน แต่เรื่องให้ลองชิมอะไรแปลกใหม่เนี๊ยะไม่เคยพลาด พอกินแล้วรสชาติใช้ได้เลยนะคะ รสสัมผัสมันจะนิ่มๆ นุ่มๆ ปรุงด้วยซอสที่ออกหวานหน่อยๆ ทานเปล่าๆ ได้สบายเลยค่ะ

หน้าร้าน

โต๊ะใหญ่มาก

เมนูแรก เป็นกะหล่ำปลีห่อไส้เนื้อสัตว์ ราดซอสมัสตาร์ดค่ะ

ปลาทอดราสซอสเปรี้ยวหวาน

เป็ดย่างหนังกรอบ อร่อยมากค่ะ

รวมๆ

ไฮไลน์วันนี้ขอเสนอ “ปลิงทะเล” ค่ะ

ซูมกันชัดๆ

เมนูพิสดาร ยกกำลัง 2

คืนนี้ส้มตั้งใจว่าจะไปลองเมนูแปลกสุดขั้วที่ถนน Wanfujing ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องร้านขายอาหารพิสดารเลยค่ะ ส้มเคยเห็นรีวิวของหลายๆ คนพาไปเที่ยวแถวนี้ มีตั้งแต่แปลกระดับที่ 1 ไปยัน “แปลกบรม” เลยค่ะ เท่าที่ส้มสังเกตมีอาหารสารพัด (จะเรียกว่าอาหารดีมั้ยน้าาา) เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ทั้งตะขาบ ม้าน้ำ หนอน แมงป่อง ปลาดาว ไปถึงอัณฑะแกะ!!!!

อย่างสุดท้าย ตอนเห็นยังไม่ช็อค แต่ตอนรู้คำตอบจากพ่อค้าว่ามันคืออะไรทำเอาส้มอึ้งเลยค่ะ เพิ่งรู้ว่ามันกินได้ ใครหนอเป็นคนสรรหามันมากิน แปลกเกิ๊น (ถ่ายรูปมาด้วยแต่ขอไม่เอามาโชว์นะคะ กลัวทุกคนเห็นแล้วจะพาลกินข้าวไม่ลง)

แถวถนน Wanfujing มีย่านช๊อปปิ้งของเมืองด้วยค่ะ แบรนด์เนมเพียบ

ถนนช๊อบปิ้งเราไม่สน เราสนถนนนี้

เริ่มจากเมนูพื้นฐานกันก่อนค่ะ

ข้าวอบสัปปะรดค่ะ

ปูตัวใหญ่ๆ นึ่งกันทั้งตัวเลยค่ะ

มาเริ่มเมนูแบบขั้นกว่าบ้างค่ะ “นกพิราบย่าง”

อาหารเสียบไม้ย่าง นานาชนิด

สุดท้าย…ส้มขอนำเสนอเมนู “พิสดาร” ระดับตำนานกันค่ะ “ม้าน้ำ” ก่อนเลย

หนอนตัวอวบอ้วน ใครกล้ากินยกมือขึ้น

ถ้าเมื่อกี้อ้วนไม่พอ มีอ้วนกว่าเมื่อกี้อีกค่ะ เห็นมั้ยตรงกลางภาพ ใหญ่เบิ้ม

“แมงมุม” รอน วิสลี่ วิ่งหนีแน่ถ้าเจอ

ถึงจะมีของแปลกเป็น 10 อย่าง แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ส้มตั้งใจจะลองกินให้ได้ นั่นคือ “ปลาดาว” คืออยากรู้ว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง แม้จะจินตนาการไว้แล้วว่ามันต้องแข็งๆ และไม่ค่อยมีรสชาติ พอเจอปุ๊บรีบซื้อเลยค่ะ ส่วนราคาเนี๊ยะแพงไปหน่อย ตัวละ 20 หยวน แต่มาถึงนี่แล้วต้องลอง พอชิมคำแรก ใช่เลยค่ะ…ใช่รสชาติที่จินตนาการไว้เด๊ะ กัดไปไม่ถึงเสี้ยว สรุปกินต่อไม่ได้ต้องจำใจทิ้ง เปลือกมันแข็งเกินไป กินไม่ได้ แงๆ

ปลาดาวมาแล้ว ตัวใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือเลยค่ะ

วัดขนาดกับหน้าซะหน่อย

จัดมา 1 ไม้

ส่วนคุณแฟนเลือกชิมเมนูแปลกอีกอย่างคือ “แมงป่อง” แต่เป็นตัวเล็กๆ นะคะ ตัวใหญ่ราคาแพงและที่สำคัญไม่กล้ากิน ไม้นึงมี 2 ตัว พอทอดเสร็จก็ไม่มีเหยาะซอสแม็กกี้แบบบ้านเรา กินมันทั้งอย่างงั้นแหละไม่มีปรุงรส ส้มชิมไปตัวนึงรสชาติเหมือนแมลงทอดบ้านเราเลยค่ะ ถ้าได้แม็กกี้นะจะเลอค่ามาก 555 (ตอนลองกินฝรั่งกลุ่มใหญ่ยืนลุ้นตามเรากันเพียบ เค้าตื่นเต้นอย่างกับเราเล่นกายกรรมกวางเจาให้เค้าดูอ่ะค่ะ 555)

ตัวนี้ดีมั้ย ใหญ่จริงอะไรจริงพี่แมงป่องของเรา

ตัวข้างบนกินไม่ไหว โหดไป ลองกินตัวแค่นี้พอ

ส่วนเมนูที่มีขายทั่วเมือง คือ ผลไม้เคลือบน้ำตาล จริงๆ ไม่ได้อยากกินหรอกค่ะ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะน้ำตาลที่ชุบมันหนาเกินไป แถมรสหวานบาดคออีกด้วย แต่ก็นะ…เหตุผลสั้นๆ คืออยากอัพ Facebook  เลยจัดมา 1 ไม้ สนนราคา 15 หยวนค่ะ

ใครอยากลองท้าพิสูจน์เมนูแปลก อย่าลืมมาที่ถนน Wanfujing แล้วคุณจะรู้ว่าเรื่องอาหารไม่ใช่อะไรอย่างที่คุณเคยคิด 555

ปล.2 ย่านนี้ของกินอาจจะแพงกว่าที่อื่นๆ นะคะ เพราะถือเป็นย่านท่องเที่ยวของเมืองน่ะค่ะ

ซักไม้มั้ยค่ะ

หมอบอกว่าต้องกินผลไม้เยอะๆ เพื่อสุขภาพที่ดี อิอิ

เข้าสู่วันที่สาม

มาปักกิ่งครั้งแรกทั้งที ไม่ไปชมเมืองหน่อยก็จะเสียเที่ยว แล้วที่ไหนนะคู่ควรให้ไปที่สุด สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า “พระราชวังต้องห้าม” และ “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” นี่แหละสุดๆ แล้ว ถ้าไม่ไปที่นี่เดี๋ยวเขาหาว่ามาไม่ถึงปักกิ่ง

พาหนะที่เราใช้ในวันนี้คือแท็กซี่ค่ะ…. “แท็กซี่พี่จีน” เป็นแท็กซี่ที่ติสที่สุดในสามโลก เราว่าไทยแลนด์เรียกแท็กซี่ยากแล้ว (แต่พอเจอต่างชาติรีบวิ่งหาเลย โถ่!) แต่พี่จีนขั้นกว่าค่ะ จะต่างชาติหรืออาตี๋อาหมวย ถ้าแกไม่อยากรับแกก็ไม่รับ ถนนมีแท็กซี่วิ่งกันเต็มทุกเลน แต่ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงโบกแท็กซี่ที่ยอมจอดฟังว่าเราจะไปไหน

ย้ำนะคะว่า “แค่จอดฟัง” ไม่ใช่ว่าจะไปส่ง ส่วนใหญ่เราโบกไปแขนจะหัก พี่ท่านก็ยังเมิน ไม่แม้จะหันมาสบตา หยิ่งเหลือเกินนะพ่อคุณ ประสบการณ์นั่งแท็กซี่ของส้ม จบลงด้วยการได้นั่งแท็กซี่ที่ไม่เปิดแอร์รถแต่เลือกเปิดกระจกรับฝุ่นจากภายนอกแทน ซ้ำร้ายเจอโซเฟอร์เป็นหวัดอีก แกขากถุยตลอดการเดินทางเลยค่ะ เศร้าแท้ T_T (อ่อ คนที่โบกแท็กซี่นี่ไกด์นะคะ ส้มไม่สามารถ แต่สงสารไกด์มาก โบกอยู่พักใหญ่)

ได้ขึ้นซะที หลังจากโบกมาพักใหญ่

ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมาย ส้มและคณะเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจัตุรัสเทียนอันเหมินแล้วค่ะ เย้ๆๆๆๆ ในที่สุดเราก็ได้มาซะที เคยเห็นแต่ในทีวี วันนี้เรายืนอยู่ที่นี่แล้ว แดดแรงโคตร (อ้าวววว) ยิ่งใหญ่เหลือเกินค่ะ คนจีนนี่เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำจริงนะคะ จัตุรัสเทียนอันเหมินกว้างมากๆ ไกด์บอกว่าให้คนมายืนได้ถึง 1,000,000 คนเลย ส้มไม่ได้เขียนเลขศูนย์เกินแต่อย่างใดค่ะ ก็มันมีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 440,000 ตารางเมตร เชียวนะคะ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)

บริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน

ลานกว้าง

ถ่ายรูปคู่ไกด์คนสวยซะหน่อย

แล้วสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่สำคัญและอยู่ตรงข้ามจัตุรัส นั่นคือ “พระราชวังต้องห้าม” ที่มีรูปท่านเหมา เจ๋อตง ตั้งตระหง่านอยู่ ไกด์บอกว่าจริงๆ ที่ชื่อพระราชวังต้องห้าม เพราะเมื่อก่อนนอกจากกษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารที่ทำงานอยู่ในวังแล้ว ไม่มีใครสามารถเข้าไปในนั้นได้ค่ะ ท่านเหมาก็ไม่เคยเข้าไปนะคะ เพราะในสมัยที่ท่านเหมายังมีชีวิตอยู่จีนยังมีระบบกษัตริย์ ท่านเหมาที่เป็นสามัญชนจึงไม่เคยได้เข้าไปเช่นเดียวกัน

ด้านหน้าพระราชวังต้องห้าม

ภารกิจถ่ายภาพเริ่มต้นขึ้นแล้ว

พระราชวังต้องห้ามมีสิ่งที่เหมือนสถานที่สำคัญๆ ของจีนอย่างนึง คือ ความใหญ่โตโอฬารค่ะ ในนั้นมีพระที่นั่ง ลานกว้าง สวน ห้องสมุด รวมถึงห้องของเหล่าสนมทั้งหลาย เรียกว่าเดินตั้งแต่ประตูด้านหน้า จนถึงประตูด้านหลัง เวลา 2 ชั่วโมงคงไม่พอ

นี่ยังเดินไม่ถึงประตูที่ต้องยื่นตั๋วเข้าชมนะคะ

วันที่ส้มไปดันเจอแจ็คพ็อตมีบุคคลสำคัญมาเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่เลยปิดส่วนต่างๆ อยู่พักนึง กว่าจะได้เข้าไปด้านในพระราชวัง เล่นเอายืนร้อนจนต้องถอดเสื้อกันหนาวออกจนหมด แทบอยากจะใส่เสื้อกล้ามอย่างเดียวเลยล่ะค่ะ

รอคิวเข้าชมพระราชวังด้านใน คนจะเยอะไปไหนเนี๊ยะ

ผู้คนเยอะจริงๆ เพราะนอกจากนักท่องเที่ยวอย่างเราแล้ว ยังมีชาวจีนที่มาเที่ยวด้วยค่ะ เจอพี่จีนเข้าไป พี่ไทยอย่างเรานี่ชิดซ้าย เรื่องอะไรน่ะหรอค่ะ เรื่องการเบียด การดัน การแซงคิวน่ะสิค่ะ เจออย่างงี้ตลอดการเดินชม ทำเอาเซ็งเลยค่ะ แล้วในพระราชวังก็ไม่ค่อยไม่สิ่งของโบราณอะไรเหลืออยู่แล้ว บวกกับความเมื่อยและเหนื่อย ส้มงี้เบื่ออยากรีบกลับไวๆ เลยค่ะ (ใครชวนไปรอบสองมีเคืองอ่ะ บอกเลย)

พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลจริงๆ

น่าจะเป็นบัลลังก์ของกษัตริย์ (มั้ง) คนจีนรูมทึ้งกันสุดชีวิตเพื่อถ่ายรูป

บริเวณที่พักนางสนม ก่อนที่จะเป็น “ซูสีไทเฮา” พระองค์ก็เคยประทับอยู่ที่นี่นะคะ

ภายในห้องพัก

มื้อเย็นวันนี้ เจอของแปลกอีกแล้ว

ส้มขอข้ามมื้อเที่ยงนะคะ เพราะไม่ได้ถ่ายรูปไว้ คือรีบกินมากๆ ทั้งหิว ทั้งรีบ เลยไม่มีรูปมาฝากทุกคน เอาเป็นว่ารวบรัดมามื้อเย็นของวันที่ 3 กันเลยดีกว่าค่ะ

ระหว่างนั่งรถไปร้านอาหารก็เจอร้านขายผัก “แบกะดิน” ของแท้

วันนี้มีเจ้าภาพชาวจีนมาเลี้ยงรับรองคณะเราค่ะ พอถึงหน้าร้าน “JINSITE RESTAURANT ก็รู้แล้วว่า “วันนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ” การตกแต่งดูแตกต่างไปจากร้านอาหารจีนทั่วไป สรุปวันนี้เรามาทานอาหารตำรับอุยกูร์กันค่ะ ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม (ใช้คำว่าส่วนใหญ่ เพราะส้มไม่แน่ใจตัวเลขที่แน่นอน ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ) วัตถุดิบทั้งหมดจึงไม่มีเนื้อหมูในการปรุงอาหารค่ะ ดังนั้นมื้อนี้เราจะได้กินสารพัดเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อหมูกันค่ะ

แค่ทางเข้าร้านก็ใช่ย่อยแล้วค่ะ

จานแรกๆ ที่มาเสิร์ฟถึงหน้าตาจะแปลกตา แต่รสชาติใช้ได้ค่ะ แต่เมื่อเข้าสู่จานที่สามเป็นต้นไป ความแปลกใหม่ยิ่งเพิ่มเลเวลมากขึ้น ทั้งพิซซ่า (หน้าอะไรไม่รู้) , สะเต๊ะเนื้อแพะ และขาแกะที่มาทั้งขา รับประทานแบบเป็ดปักกิ่ง คือใช้แป้งห่อเครื่องเคียงและเนื้อแกะ

ไก่ผัดน้ำมันงา (มั้งค่ะ อิอิ) ไก่เหนียวให้อารมณ์แบบไก่บ้านเลย

เนื้อวัวแดดเดียว

ยำมะเขือยาว จานนี้อร่อยดีค่ะ

มาเริ่มจากแปลกกันค่ะ พิซซ่าสไตล์อุยกูร์

สะเต๊ะเนื้อแพะ

ดีนะไม่เสิร์ฟเมนูนี้ มีหวัง…..

แกะเสิร์ฟมาทั้งขา พร้อมห่อแป้งทานค่ะ

เมนูแกะและแพะส้มไม่ได้ทานค่ะ คนที่ทานเนื้อทั้งสองชนิดจะทราบว่ามันจะมีกลิ่นสาปที่เฉพาะตัวมากๆ คือกลิ่นค่อนข้างแรงกว่าเนื้อวัวพอสมควร หากไม่คุ้นเคยอาจทานไม่ไหว ถึงแม้ส้มจะเคยทานเนื้อสองประเภทนี้มาก่อน แต่ว่าครั้งนี้ไม่ไหวค่ะ กลิ่นเนื้อมันค่อนข้างแรงมากๆ (สำหรับส้ม) เลยทำได้เพียงเก็บภาพไว้เท่านั้น

ความขบขันของมื้อค่ำวันนี้คือ พวกเรานำปลากระป๋องที่มีอยู่เพียงกระป๋องเดียวมันแบ่งกันกิน เพราะกินอาหารจีนทุกวันมันก็คิดถึงอาหารบ้านเราเป็นธรรมดา แต่ไม่มีใครพกอะไรติดตัวมานอกจากปลากระป๋อง แบ่งกันกินไปขำกันไป เพราะเจ้าสิ่งนี้หากอยู่ไทยคงไม่มีใครสนใจอยากกิน

ส่งท้ายทริปปักกิ่ง ด้วยการพิชิต “กำแพงเมืองจีน”

มาเมืองจีนจะพลาดการมาปืน มาป่าย มาถ่ายรูปกำแพงเมืองจีนได้ยังไง จริงมั้ยคะ พอรู้ว่าต้องมาที่นี่นอกจากเตรียมความพร้อมเรื่องร่างกายที่แข็งแรง เสื้อผ้าที่ต้องหนาเพราะอยู่บนที่สูงและโล่งแจ้ง และสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนกลัวความสูงอย่างส้ม คือ เตรียมใจค่ะ

เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็ออกเดินทางไปนอกเมือง ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆ ค่ะ และแล้วส้มก็ได้ยลโฉมกับสถานที่อัศจรรย์แห่งหนึ่งของโลก สิ่งที่มนุษย์ใช้ความอุตสาหะ ความพยายาม และหลายคนต้องสูญเสียชีวิตสร้างขึ้นมา นับถือคนที่สร้างมันขึ้นมาจริงๆ ค่ะ เหตุที่ชาวจีนต้องสร้างกำแพงเมืองจีนที่ใหญ่และระยะทางยาวขนาดนี้ เพื่อต้องการป้องกันศัตรูจะเข้ามารุกรานค่ะ (ข้อมูลเต็มๆ พี่ Google ช่วยคุณได้ 555)

พอลงรถก็รีบปรี่เข้าไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งฉันเคยมาที่นี่แล้ว แต่พอออกเดิน เริ่มปีนป่ายขึ้นไปตามขั้นบันไดหิน ที่สูงและชัน พอเงยหน้ามองป้อมปราการด้านบนที่เป็นจุดหมาย เล่นเอาส้มท้อไปเหมือนกันค่ะ เรื่องแรงกายน่ะสู้สุดชีวิต แต่พอเจอความสูงทีไรส้มแพ้ทางทุกที

ก่อนเริ่มปีนป่าย ขอถ่ายรูปก่อน (บ้ากล้องซะจริง)

ออกเดินกันเลยค่ะ

แค่ป้อมแรกยังหวั่นๆ เลย หนทางยาวไกลมาก

สุดท้าย ความพยายามของส้มก็ไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปยืนที่ป้อมปราการบนสุดนั้นให้ได้ พอส้มยิ่งปีน ขั้นบันไดก็ยิ่งแคบ กำแพงที่กั้นระหว่างเรากับเหวก็ยิ่งเตี้ยลงไปเรื่อยๆ เรียกว่ามันเตี้ยแค่เอวส้มเองอ่ะคะ มันรู้สึกไม่ปลอดภัยอ่ะ กลัวว่าตัวจะยืนไม่อยู่แล้วเอนพลัดจากกำแพงไป ในที่สุดก็ถอดใจให้คุณแฟนขึ้นไปคนเดียว ส่วนเราไปเดินถ่ายรูปวัดด้านล่างแทน 555 (คุณแฟนบอกว่าด้านบนอากาศอ่อนมาก เขาขึ้นไปถ่ายรูปได้นิดหน่อยก็รีบลงมา เพราะหายใจไม่ค่อยสะดวก)

เดินไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง นั่งพักก่อน

อย่าทำนิสัยแย่ๆ แบบนี้นะคะทุกคน (ใครอยากรู้ว่าพวกหล่อนเคยมาแล้ว ฮะ!!!)

มองลงมาด้านล่าง

เมื่อไปต่อไม่ไหว ส้มขอลงมาเดินเล่นที่ด้านล่างค่ะ

สีเสื้อนี่เหมือนรู้ว่าต้องมาถ่ายกับป้ายนี้นะ

มื้อส่งท้ายทริปปักกิ่ง First time

ส่งท้ายอาหารจีนแบบธรรมดากันบ้าง เจอแปลกๆ มาเยอะแล้ว เดี๋ยวกระเพาะจะต่อต้านซะก่อนน่ะค่ะ อาหารส่วนใหญ่รสชาติใช้ได้ แต่ด้วยความเหนื่อยล้าสะสมตลอด 4 วันที่ผ่านมา เลยทำให้กินอะไรไม่ค่อยลง แต่ก็ไม่ลืมเก็บภาพมาฝากทุกคนเหมือนเดิมนะคะ

ถั่วคั่วหน่อยมั้ยคะ

ทานออเดิร์ฟรองท้องกันก่อน

หน่อไม้ต้ม ต้นใหญ่ หวานอร่อยดีค่ะ

ปลาสองสีหน้าตาดีเชียวค่ะ

การมาเยือนเมืองจีนครั้งนี้ ส้มได้เห็นความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมต่างๆ เรื่องการแซงคิว กินอาหารไม่เรียบร้อย ห้องน้ำไม่สะอาด หรือกลิ่นบุหรี่ที่มีทุกที่นั้น ส้มได้เจอมาหมดค่ะ แต่นั่นก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของประเทศจีน ที่นี่ยังเป็นเมืองที่น่าค้นหาไม่ว่าจะเรื่องการท่องเที่ยว หรืออาหารการกินก็ตาม

การได้มาเรียนรู้วัฒนธรรมผ่านอาหารของส้มในครั้งนี้ ทำให้ส้มรู้สึกว่าคนจีนเป็นคนที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับอาหารการกินมาก ถึงแม้วัตถุดิบหลายอย่างเราคิดว่ามันแปลกเกินไป แต่ก็นั่นแหละค่ะ วัฒนธรรมการทานในแต่ละประเทศไม่เหมือนกันนิเนอะ อาหารแต่ละมื้อที่ส้มได้มีโอกาสลิ้มลองจะมีถูกปากบ้าง ไม่ถูกปากบ้าง แต่มันทำให้ชีวิตเรามีสีสันดีเหมือนกันนะคะ

แล้วคุณล่ะคะ อยากลองซักเมนูมั้ย ถ้าใจพร้อม กายพร้อม อย่าลืมตะลอนกินแบบส้มบ้างนะคะ คอนเฟิร์มเลยค่ะว่าคุณจะได้เจอความตื่นตาในทุกมื้ออาหารแน่นอน

ส่งท้ายด้วยความอลังการภายในสนามบินปักกิ่ง แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า ในอีกไม่ช้านี้นะคะ

2

ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น