(ไป)สองคน-(รถ)หนึ่งคัน-(เที่ยว)สี่วัน-ฉันรักน่าน
วันนี้ขอพาไปแอ่วจังหวัดเล็กๆ ของภาคเหนือ มีนามสั้นๆ ว่า “น่าน” ค่ะ แค่ส้มได้ยินชื่อนี้ก็แอบมโนไปต่างๆ นานาแล้วว่ามันต้องสวยมากแน่ๆ ก็เวลาที่ส้มไปแอบส่องรีวิวของคนอื่นที่ได้ไปเยือนมา ล้วนแต่มีภาพบรรยากาศสวยๆ มาฝากผู้อ่านกันทั้งนั้น ถ้าน่านเปรียบเป็นผู้หญิง ชายใดได้เห็นเป็นต้องตกหลุมรักแน่นอนค่ะ ส้มก็เป็นหนึ่งในคนที่เฝ้าใฝ่ฝันว่า “ซักวันชั้นจะไปยลโฉมจังหวัดนี้ด้วยตาของตัวเองให้จงได้”มารอบนี้ขอเรียนตามตรงว่า คิดชื่อรีวิวไม่ออกจริงๆ คิดอยู่นานสองนานก็ได้มาอย่างที่เห็นน่ะค่ะ (ยาวเป็นเรียงความเลย) ก็แหม…สำหรับส้มแล้วการเขียนรีวิวซักเรื่องนึ่ง ส่วนที่ยากที่สุดนอกจากคำนำก็คือชื่อเรื่องนี่แหละ ไอ้เรามันก็แค่นักเขียน(รีวิว)มือสมัครเล่น คิดชื่อหรูๆ หราๆ กะเค้าไม่เป็น เลยจัดมันซะอย่างงี้แล้วกัน ถึงไม่เพราะแต่คล้องจองอยู่นะ เอาเป็นว่าปล่อยผ่านมันไปแล้วกันเนอะ (><“)
เมื่อเคลียร์เรื่องชื่อรีวิวจบไป ก็ขอกลับเข้าสู่เรื่องการเที่ยวจังหวัดน่านกันต่อนะคะ ส้มคิดว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จังหวัดน่านกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ด้วยความที่เมืองนี้ยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ผนวกกับโบราณสถานและศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีให้ได้ศึกษามากมาย เลยทำให้หลายคนตัดสินใจมาสัมผัสความสวยงามของที่นี่ และส้มก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยค่ะ โชคดีที่มีโอกาสมาที่นี่เพราะต้องร่วมงานแต่งพี่ที่รู้จักกัน (เค้าจัดที่จังหวัดนี้) อุตส่าห์มาถึงที่แล้วจะมาร่วมงานแต่งเฉยๆ ก็กระไรอยู่ ส้มจึงขอจัดทริปให้คุ้มค่าตั๋วเครื่องบินซะหน่อย คราวนี้ได้ทั้งมางานแต่ง เที่ยว กิน ถ่ายรูป นอนดูดาว บลา บลา บลา (กิจกรรมเยอะมากกว่าเมืองไทยประกันชีวิตอีกนะ ขอบอก!!)
เมื่อแผนการท่องเที่ยวพร้อม ส้มและแฟนก็จัดการจองตั๋วของสายการบิน “นกแอร์” ขอบอกว่าชื่อนี้จะจำไปจนวันตายเลยค่ะ เพราะจากวันที่จองตั๋วจนถึงวันเดินทาง (ประมาณ 5 เดือน) น้องนกคนสวยแกเล่นเลื่อนไฟลท์อีชั้น ทั้งขาไปขากลับ 4-5 รอบ จากที่กำลังจินตนาการเรื่องนอนดูดาวบนดอย อยู่ๆ น้องแกก็มาทำให้หงุดหงิดทุกทีที่มี SMS แจ้งเลื่อนไฟลท์ โถๆๆๆ ถ้าชั้นเป็นนักธุรกิจพันล้าน ต้องไปเจรจาสัญญาโครงการเมกะโปรเจ็ค เจอโรคเลื่อนบ่อยซะขนาดนี้ พี่จะเทคโอเวอร์บริษัทมาบริหารเองให้รู้แล้วรู้รอดไป วัยรุ่น(ตอนปลาย) เซ็ง!!!!
แต่ทำไงได้อะคะ มันมีเจ้านี้เจ้าเดียวที่บินตรงจากดอนเมือง-น่าน ถึงแม้พี่ท่านจะใจร้ายมากเพียงใด แต่ศรีก็ทนได้ เพราะศรีไม่มีปัญญาจะขับรถจนก้นชาไปเมืองน่านเองนี่ินา เฮ้อ (T_T”)
ส้มเดินทางไปน่านตั้งแต่วันพฤหัสที่ 12 ธ.ค. 56 (ไฟลท์ DD8832 /18.30 – 20.05) และกลับวันอาทิตย์ที่ 15 ธ.ค. (ไฟลท์ DD 8833 / 20.35 – 22.10) รวมทั้งหมด 4 วัน ด้วยความที่นั่งเครื่องไป บวกกับงานแต่งและทริปที่วางไว้ต้องเดินทางข้ามอำเภอ ส้มเลยตัดสินใจเช่ารถสำหรับใช้ในเดินทาง สุดท้ายก็ได้บริษัทรถเช่า ส้มโทรหาคุณเอ็ม 081-603-2287 (จำชื่อบริษัทไม่ได้อ่ะ) และเลือกรถ Suzuki Swift เพราะราคาเช่าถูกสุด (1,000 บาท/วัน) แถมเติมน้ำมัน E20 ได้ด้วย คุณเอ็มยืนยันด้วยว่าถึงแม้จะคันเล็กแต่สามารถพาเราขึ้นเขาไปเที่ยว อช.ศรีน่านได้สบายๆ งั้นก็เลือกเจ้าจิ๋วนี่ในการเดินทางอีก 4 วันข้างหน้าเลยแล้วกันนะจ๊ะ
รถคู่ใจประจำทริปนี้ค่ะ
คุณเอ็มนำรถมาส่งให้ส้มที่สนามบินค่ะ เพราะส้มตั้งใจจะขับรถไปเกสต์เฮ้าส์กันเอง จากนั้นจะได้ขับไปทานมื้อค่ำในตัวเมืองน่านด้วย พอเซ็นต์เอกสารเช่ารถ จ่ายค่าประกันรถ 3,000 บาทเรียบร้อยแล้ว (คุณเอ็มจะคืนให้ตอนเรานำรถมาคืนค่ะ) คุณเอ็มและน้องที่มาส่งรถด้วยกัน ยังช่วยแนะนำเส้นทางการท่องเที่ยวเพิ่มเติมให้อีก น่ารักจริงๆ…ปรา ทับ จายยย (ออกเสียงให้เหมือนโฆษณาเครื่องดื่มรังนกชนิดหนึ่ง กิกิ)
ส้มขออนุญาตสรุปการเดินทางคร่าวๆ ตลอด 4 วันนี้ก่อนนะคะ
พฤ. – เดินทางมาถึงน่าน แวะทางอาหารร้านดัง
ศ. – ท่องเที่ยวเชิงวัฒธรรมที่ “วัดพระธาตุเขาน้อย” “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ” ต่อด้วยสัมผัสธรรมชาติที่ “เสาดินนาน้อย” และ “อุทยานแห่งชาติศรีน่าน”
ส. – ทริปงอก (คือไม่อยู่ในแผนแต่แรก) และไปร่วมงานแต่งพี่สาว-พี่ชาย สุดที่เลิฟ
อา. – เก็บตก : นั่งรถราง , หมู่บ้านไทลื้อ , ไหว้พระวัดภูมินทร์
ตลอดระยะเวลา 4 วันนี้ บอกเลยเราสองคนเที่ยวกันกระหน่ำมาก ไม่รู้จะเรียกว่าคุ้มค่าหรืองกดี แต่ที่คอนเฟิร์ม คือ เวลาแค่ 4 วันสามารถทำให้เราสองคนหลงรักเมืองนี้ได้ไม่ยากค่ะ เมืองอะไร๊ เลิศเลอไปทุกสิ่งอย่าง เสียดายที่ถ่ายรูปไม่สวยเท่าที่สายตามองเห็นง่า แงๆ
ยิ่งเขียน ยิ่งเพ้อ(เจ้อ) เนอะ เค้าขอโทษ มาม๊ะ จริงจังล่ะแล้วค่ะ
วันที่ 1 : จากเมืองกรุง สู่เมืองสวย
เริ่มที่วันแรกของการเดินทางเลยแล้วกันนะคะ อย่างที่บอกว่าส้มเดินทางจากสนามบินดอนเมือง-จังหวัดน่าน ซึ่งเครื่องบินลำค่อนข้างเล็กค่ะ คงเพราะผู้โดยสารไม่มากเท่าไหร่ เวลานั่งไปก็ลุ้นไป (แอบกลัวเครื่องลำเล็กๆ รู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงชอบกลค่ะ) แต่ส้มประทับใจสนามบินจังหวัดน่านมั่กอ่ะ อาคารผู้โดยสารงี้เล็กจริงๆ แต่ดูอบอุ่นนะคะ การส่งกระเป๋าผู้โดยสารก็ manual มาก ไม่มีหรอกระบบสายพาน มือและเเรงคนล้วนๆ ยกๆ แบกๆ สนุกสนานกันไป
พอไปถึงรับรถเสร็จเรียบร้อย คุณแฟนก็ทำหน้าที่สารถีที่ดีขับมาเกสต์เฮ้าส์ที่จองไว้ ส้มจองที่ “เฮือนน่านนิทรา” ค่ะ ห้องราคา 700 บาท/คืน (ถ้าไม่ใช้ช่วงท่องเที่ยว 600 บาท/คืน) มีคุณป้านิทราเป็นเจ้าของ เกสต์เฮ้าส์นี้น่ารักดีค่ะ ส้มว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนมานอนบ้านญาติ อบอุ่นมากๆ ได้พูดคุยอย่างเป็นกันเอง บรรยากาศห้องพักก็น่ารัก มีของตกแต่งเยอะแยะไปหมด กับราคา 700 บาท ส้มว่าคุ้มค่ามาก
เป็นเกสต์เฮ้าส์ที่ประทับใจอีกหนึ่งแห่งเลยค่ะ
ห้องไม่ใหญ่แต่มีของอำนวยความสะดวกครบ
ทั้งห้องนอนและห้องน้ำ ตกแต่งน่ารักดีจัง
มาดูบรรยากาศภายนอกกันบ้างดีกว่า
จะนั่งพักหรือเม้าส์มอยก็ได้ตามสบายเลยจ้า
มีน้ำดื่้มเย็นๆ ไว้บริการที่นี่
หลังจากเก็บข้าวของแล้ว เราก็ขับสวีฟน้อยคู่ใจไปทานข้าวร้านอาหารชื่อดัง “ร้านข้าวต้มปุ้ม 3” (แต่ปุ้ม 1-2 ไม่มีนะ เอ่อแปลกดีอ่ะ) ร้านในเมืองน่านส่วนใหญ่ปิดเร็ว แต่ร้านปุ้ม 3 เค้าปิดดึก ถือเป็นที่ฝากท้องของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงมืดค่ำแบบเราเลยค่ะ เมนูที่ทุกคนต้องมาลองคือ “มัสมั่นไก่ฟรุตตี้” หลายคนการันตีว่ามันไม่ใช่มัสมั่นธรรมดา เพราะจานนี้ได้รางวัลการันตีจากโครงการแชมป์เชฟไทยสู่ครัวโลก ตอนแรกเกือบอดกินเพราะเค้าบอกว่าหมด อยู่ๆ พนักงานบอกว่ายังเหลืออีก 1 จาน เลยรีบสั่งมาทานค่ะ แต่บอกตรงๆ ส้มว่ารสชาติเฉยๆ อ่ะค่ะ จานใหญ่เกิน เลี่ยนมาก ออกเเนวเป็นมัสมั่นแห้งๆ ทั้งที่ปกติชอบกินมัสมั่นนะคะ แต่กลับไม่ค่อยปลื้มของที่นี่ (คงลิ้นไม่ถึง) นอกจากมัสมั่นแล้ว ก็มีเมนูฮิตอื่นๆ ด้วย เช่น หมูสับนึ่งปลาเค็ม และจับฉ่าย อยากบอกว่าพอกินครบสามอย่าง ชอบจับฉ่ายสุดแล้ว 555
มีรางวัลการันตีเชียวนะ
มื้อนี้จ่ายค่าเสียหายไป 350 บาท
เมื่อทานของคาวเรียบร้อยแล้วก็ต้องมีของหวานด้วยสิ ไม่งั้นมื้อนี้จะไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร หนาวๆ แบบนี้ “บัวลอยไข่หวาน” เหมาะสุดๆ และหากทานเมนูนี้ต้องมาที่ “ร้านขนมหวานป้านิ่ม” เลยค่ะ ส้มเห็นนักท่องเที่ยวชอบมาทานที่นี่ สำหรับรสชาติก็ใช้ได้นะคะ แต่ไม่ถึงกับพลาดไม่ได้ ที่สำคัญส้มว่าราคาโหดไปนิด ถ้วยมันเล็กมาก แต่ราคา 50-60 บาทเชียว
ร้านใหญ่โต สะดุดตามาก
มาแล้วจริงๆ นะ
เมนูแนะนำของร้าน “บัวลอยไข่หวาน”
ไข่หวานลูกโตๆ อร่อย
เผื่อบางคนที่ไม่ชอบกินบัวลอย
มาวันนี้อาจอดกินนะ ทุกคน
แต่ไฮไลน์ที่ส้มขอนำเสนอนอกเหนือจากการมานั่งกินขนมหวานที่ร้านป้านิ่มแล้ว คือการมาชมบรรยากาศวันศรีพันต้นยามค่ำคืน (วัดอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านเลยค่ะ) แสงไฟมันสาดส่องตัววัดที่เป็นสีทองให้สวยอลังการยิ่งขึ้น แต่เสียดายที่ส้มถ่ายรูปไม่ทัน เพราะเค้าปิดไฟก่อนที่จะกินบัวลอยเสร็จ (มีบุญแต่กรรมบังแท้ๆ) เมื่อภารกิจการทานเสร็จสิ้นแล้ว ก็เลยขับรถวนสำรวจในเมืองซักรอบ ตอนกลางคืน “เมืองน่าน” ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่เลยค่ะ คอนเฟิร์ม!!
วัดภูมินทร์ยามค่ำคืน สวยแปลกตา
วัดพระธาตุช้างคำ ก็สวยงามไม่แพ้ใคร
วันที่ 2 : สำรวจตลาดเช้า ไหว้พระ ชมพิพิธภัณฑ์ นอนอุทยานแห่งชาติ
เช้าวันที่สองของเรา เริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่ เพราะวันนี้เราต้องไปสำรวจตลาดเช้า นี่ถือเป็นกิจกรรมที่ส้มต้องทำทุกครั้งเวลาเดินทางไปเที่ยวที่ไหน เพราะตลาดนี่แหละจะทำให้เรารู้จักเมืองและผู้คนที่นั่นมากขึ้น ได้พูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้า ถ่ายรูป และชิมอาหารพื้นเมืองของแต่ละที่ บอกเลยว่าเพลินมากค่ะ ส่วนการเดินทางไปตลาดเช้าของเราวันนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะเราจะขี่จักรยานไปค่ะ (ที่เกสต์เฮ้าส์มีจักรยานให้ยืม) อากาศวันนั้นกำลังเย็นสบาย ขี่จักรยานไปเหงื่อยังไม่ทันออก ก็ถึงที่หมายแล้วล่ะ
คึกคักแต่เช้าเลย
ขายดีจริงๆ
มาเดินตลาดทีไร สายตาทำงานหนักทุกที เพราะต้องสอดส่องว่ามีอาหารอะไรน่าลองบ้าง 555 ส้มเป็นพวกบ้าของแปลก เห็นผัก ผลไม้ อาหารอะไรแปลกๆ ไม่ได้ต้องขอลอง มีความสุข (ถึงแม้หลายๆ อย่างมันจะไม่อร่อยเลยก็เถอะ) แต่ส้มก็ไม่ได้ชิมไปซะทุกอย่างหรอกค่ะ เน้นไปถ่ายรูป คุยกับแม่ค้ามากกว่า แม่ค้าพ่อค้าที่นี่ก็น่ารักฝุดๆ อัธยาศัยดีมากๆ ขอถ่ายรูปก็ได้ มีให้ชิมโน่นนี่ไปเรื่อย ได้หัวเราะแต่เ้ช้า มีความสุขจังเลย ^_^
เห็นดอกไม้สวยๆ ตอนเช้า ชื่นใจจัง
อุดมสมบูรณ์ ผักผลไม้ลูกใหญ่ๆ ทั้งนั้น
ซักหวีมั้ยค่ะ (ทานหมดนี่ อิ่มไปถึงปีหน้า)
นี่มันเท้าของสัตว์ชนิดไหนอ่ะ ที่รู้ๆ คือใหญ่ไปนะ
ตลาดนี้ “เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ขาย” (มือแม่ค้าช่วยคอนเฟิร์ม)
ปฏิบัติการสอดส่องหาของแปลก เริ่มต้นที่สาหร่าย
กินได้ด้วยหรอ
หลังจากลองนั่นลองนี่ไปเรื่อย สุดท้ายเลือกทานโจ๊กเป็นมื้อเช้า เสร็จแล้วเราก็ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ด้วยการไปปั่นจักรยานเล่นกันค่ะ (ได้ออกกำลังกายแต่เช้า สดชื่นมาก) เราปั่นไปชมวัด ดูแม่น้ำน่านยามเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์แบบที่หาไม่ได้ที่กรุงเทพ สบายใจจัง… แต่เวลาแห่งความสุขผ่านไปรวดเร็วซะเหลือเกิน สุดท้ายก็ต้องรีบกลับมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางต่อแล้วค่ะ วันนี้ทริปแน่นมากเลย เพราะต้องไปเที่ยววัดพระธาตุเขาน้อย , พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และยังต้องขับรถต่อไปอุทยานแห่งชาติศรีน่านที่พักของเราคืนนี้อีกด้วย
(อ่อ! จริงๆ ที่เกสต์เฮ้าส์มีอาหารเช้าและเครื่องดื่มให้ทานนะคะ ใครที่ขี้เกียจออกมาทานข้างนอกก็ฝากท้องที่นั่นได้เลยจ้า)
ผลไม้พื้นบ้าน จำชื่อไม่ได้ รสชาติบรรยายไม่ถูก ><“
“รังผึ้ง” ของหายากนะเนี๊ยะ ราคาแพงเพราะหายาก แต่ขอลองซักชิ้น
รังใหญ่มั่กๆ
อาหารเช้าของเราสองคน
ที่เกสต์เฮ้าส์มีข้าวต้มและเครื่องดื่มไว้ให้ด้วย
ขอบอกว่าใครมาเที่ยวน่าน แล้วไม่ไป “วัดพระธาตุเขาน้อย” เค้าอาจจะบอกว่าคุณมาไม่ถึงจังหวัดน่านได้นะคะ เพราะนี่ึคือ Landmark ที่ทุกคนต้องมาไหว้และถ่ายรูป “พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร ประดิษฐานอยู่บนเขาสูง สวยงามตระการตาเชียว ถ่ายรูป อัพเฟส คนกดไลน์ตรึมแน่ เชื่อสิ อิอิ
องค์พระสวยงามมาก
ด้านหน้าองค์พระก็สวยเช่นกัน
แวะกราบพระในโบสถ์
พระธาตุเขาน้อย
จบภารกิจอัพเฟสแล้ว ก็มาเที่ยวกันต่อที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดน่าน” ขึ้นชื่อว่าพิพิธภัณฑ์ หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเป็นที่ๆ น่าเบื่อ แต่ส้มกลับชอบนะคะ ถึงการจัดแสดงอาจจะไม่ได้อลังการเหมือนเมืองนอก แต่ของที่จัดแสดงเนี๊ยะไม่แพ้ใคร จริงๆ ส้มคิดว่าเราจะไปโทษเรื่องการจัดแสดงเค้าไม่ได้หรอก ก็แหมค่าเข้าชมคนละ 20 บาทงี้ แล้วคนไทยยิ่งไม่นิยมมาเที่ยวด้วย เค้าจะเอาเงินที่ไหนไปพัฒนาล่ะ ดังนั้น ช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันเยอะๆ ดีกว่าเนอะ
มาหาความรู้กันบ้างไรบ้าง
ค่าเข้าชมเพียง 20 บาทเอง
พิพิธภัณฑ์ที่นี่สุดยอดมากค่ะ สิ่งของที่จัดแสดงมีหลากหลายมาก วัตถุโบราณแ่ต่ละยุคสมัยเยอะมาก หลายๆ อย่างส้มไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แปลกตาดีอ่ะ แล้วก็มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งที่จัดแสดงที่นี่ด้วย นั่นคือ “งาช้างดำ” (ประวัติถามอากู๋ได้ แหะๆ) ที่นี่เค้ามีส่วนจัดแสดงทั้งหมด 2 ชั้นค่ะ แต่ถึงมีแค่ 2 ชั้น แต่แบ่งหลายห้องมากเลย มีทั้งจัดแสดงการใช้ชีวิตของคนพื้นเมือง ศิลปะ และวัฒนธรรมต่างๆ 20 บาทที่เสียไปคุ้มมากค่ะ ไฮไลน์อีกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องมาถ่ายรูปคือ “วัดน้อย” เป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย จะไม่เล็กได้ไง เดี๋ยวดูรูปด้านล่างแล้วกันนะ
บ้านในแบบต่างๆ
เคยเห็นกันมั้ยเอ่ย
ของโบราณนี่สวยเนอะ
จำลองวิถีชีวิตชาวบ้าน จังหวัดน่าน
เรื่องผ้าก็ไม่แพ้ใคร
เจ้าผู้ครองนครน่าน
เดินกันเพลินๆ
ห้องจัดแสดงมีเยอะมาก
พระพุทธรูปสมัยต่างๆ
นี่ไงสิ่งล้ำค่าของชาวน่าน “งาช้างดำ”
มองออกไปด้านนอกพิพิธภัณฑ์
“วัดน้อย” ที่น้อยสมชื่อเจงๆ
ที่มาของชื่อวัดน้อย
อาหารตาอีกหนึ่งอย่าง
ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่โบราณวัตถุ แต่วิวก็เลอเลิศใช่ย่อย
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยง ร่างกายก็เริ่มไม่อยากรับข้อมูลอะไรแล้ว เลยต้องทำตามหัวใจเรียกร้อง “หาของกินด่วน” มาถึงน่านจะให้กินผัดกระเพราก็กระไรอยู่ เลยจัดอาหารเหนือเป็นมื้อเที่ยงวันนี้ซะเลย แล้วร้านที่เราเลือกก็ต้องเป็นร้านชื่อดังอีกตามเคย “ร้านเฮือนฮอม” เป็นร้านเป้าหมายของนักท่องเที่ยว ทั้งมาเดี่ยว มาคู่ หรือมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ ไอ้เราก็ประเภทอยากรู้อยากลองที่ๆ คนอื่นไปทานกัน ว่ามันอร่อยสมคำร่ำลือจริงรึเปล่า ส้มขอพิสูจน์เมนู “ข้าวซอยไก่” ใส่ข้าวน้อยๆ เฮ้ย!!! ไม่ใช่…. ข้าวซอยคืออาหารเหนือ มีลักษณะคล้ายเส้นบะหมี่แต่จะมีขนาดใหญ่และแบนกว่า ราดด้วยน้ำซุปที่ใส่เครื่องแกงสารพัด ทานคู่กับหอมซอย ผักกาดดอง ใส่พริกผัดน้ำมันนิด ปีบมะนาวหน่อย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม (เฉพาะตอนหิวนะ ตอนอื่นอาจยอมให้แลกอะ อิอิ)
ถึงแล้วร้านเฮือนฮอม
เมนูโปรดของหนู
ยำผักกูด เเซ๊บ
ทั้งตลาดเช้า , วัดพระธาตุเขาน้อย , พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และร้านเฮือนฮอม ตั้งอยู่ตัวเมืองน่านทั้งหมด แต่ที่หมายต่อไปอยู่นอกเมืองค่ะ ที่นั่นคือ “อุทยานแห่งชาติศรีน่าน” จังหวัดน่านมี อช.เยอะมาก หลายๆ คนไปเที่ยว อช.ดอยภูคาที่อยู่ทางเหนือของจังหวัดน่าน แต่พอดีส้มต้องไปร่วมงานแต่งที่อำเภอเวียงสาซึ่งอยู่ทางใต้ของจังหวัด ส้มเลยถือโอกาสเที่ยวที่ อช.ศรีน่านอยู่อยู่ทางใต้เหมือนกัน ระยะทางจากในเมืองไปอช.ศรีน่าน ประมาณ 80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 – 2 ชม. ค่ะ ส้มเลยต้องรีบเดินทาง เพราะถ้าไปถึงมืดอาจขับรถลำบาก
แต่ก่อนจะถึง อช.ประมาณ 24 กม. มีสถานที่เที่ยวนึงที่ส้มอยากแวะคือ “เสาดินนาน้อย” ที่นี่เป็นเสาดินที่มีลักษณะแปลกตาคล้าย “แพะเมืองผี” ในจังหวัดแพร่ค่ะ มันเกิดจากดินตะกอน ทับถม ถูกเลื่อนตัวสูงขึ้นจากผิวดิน เมื่อเวลาผ่านไปหลายล้านปี ถูกน้ำและฝนกัดเซาะ จนทำให้เกิดรูปร่างประหลาด แปลกตาดีค่ะ มาเที่ยวที่นี่ได้ใช้จินตนาเยอะ เพราะมัวแต่มองดูว่าดินก้อนนี้หน้าตาเหมือนอะไร เสียตรงที่อากาศร้อนไปหน่อยนึงอ่ะ
คืออยากจะบอกผู้เกี่ยวข้องว่า “เปลี่ยนป้ายใหม่เถอะค่ะ” ตัวอักษรจะอ่านยากไปไหน
ดินก้อนนี้เหมือนอะไรดีน้าาา
อย่าเดินออกนอกเส้นทางนะ บอกเลยว่ามีหลงได้ เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง
ธรรมชาติรังสรรค์สิ่งสวยงามให้เราเสมอ
เหลือตัวกระจิ๊ดเดียว
มีถ้ำดินซะด้วย
ตำนานที่ชาวบ้านเค้าบอก
ถ่ายรูปเสาดินนาน้อยจนแบตเตอรี่กล้องเกือบหมด นึกได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงเรายังอยู่อีกไกล เลยรีบขับรถหน้าตั้งไปที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ที่พักของเราค่ำคืนนี้คือลานกางเต้นท์ “ดอยเสมอดาว” (ชื่อหรูเชียว) ส้มโทรไปจองเต้นท์ของ อช. ไว้ล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนค่ะ และถือว่าโชคดีมากที่ส้มโทรจองได้ เพราะวันที่ส้มจะเดินทางไป ได้โทรไปที่ อช. เพื่อคอนเฟิร์มที่พักแต่โทรยังไงก็ไม่ติด มาทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าโทรศัพท์ที่นี่เป็นระบบยิงสัญญาณผ่านดาวเทียมมา ถ้าสัญญาณไม่ดีก็โทรไม่ติดค่ะ (ซะงั้น)
คอนเฟิร์มว่ามาถูกที่
ส่วนค่าเช่าอุปกรณ์ทั้งหลายมีเต้นท์ 1 หลัง , ผ้ารองนอน 2 ชุด , ถุงนอน 2 ผืน รวม 345 บาท สำหรับตะเกียงต้องมาเช่าที่เจ้าหน้าที่เอง ไม่มีรับโทรจองค่ะ ค่าเช่า 100 บาท แล้วก็เช่าเสื่อไว้นั่งชมดาวหน้าเต้นท์อีก 30 บาท นอกนั้นก็เป็นค่าเข้าอุทยานน่ะค่ะ
ปล.1 : หากจะจองเต้นท์ของ อช. ต้องโทรมาเนิ่นๆ นะคะ เพราะเค้ามีเต้นท์ให้บริการแค่ 30 กว่าหลังเองค่ะ
ลานกางเต้นท์ของเรา (ไม่ได้มาหน้าเทศกาลก็ดีงี้ เลือกที่ได้ตามใจ)
เต้นท์ของอุทยานเจ้าหน้าที่เค้ากางรอไว้แล้ว
เต้นท์ 1 หลังสำหรับ 3 คน แต่นอนแค่ 2 ก็ยิ่งสบายใหญ่ (กว้างอยู่นะ)
มานอนกลางป่าเขาทั้งที แต่กลับไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนอกจากเสื้อผ้าและผ้าห่ม 1 ผืน ก็แหม..นั่งเครื่องมา กระเป๋าก็ใบนิดเดียว ยัดอะไรไม่ได้มาก งานนี้หาเอาดาบหน้าล้วนๆ ค่ะ และโชคก็เข้าข้างอีกครั้ง เมื่อที่ อช. มีร้านอาหารไว้บริการ ไม่ต้องกินมาม่าแห้งแล้ว เย้ๆ นอกจากได้ไปกินข้าวเย็นที่ร้านค้า แม่ค้ายังใจดีให้ยืมกระติกน้ำแข็งของตัวเองมาให้ใส่น้ำแข็งด้วย (รักเลย) คราวนี้ส้มก็จัดเต็มซื้อโค้ก ข้าวเหนียว หมูทอด ไว้กินยามดึกด้วยเลย แค่นี้ก็มีความสุขแล้วล่ะค่ะ
ปล.2 : ร้านค้าตั้งอยู่ห่างจากลานกางเต้นท์ประมาณ 1 กม. ถ้าไม่ได้นำรถมาแล้วต้องเดินไป เหนื่อยใช่เล่นอยู่นะ เพราะมันเป็นเนินเขาอ่ะจ้า
ผ้าปู ถุงนอน ตะเกียง พร้อม!!
อาหารเย็นของเรา
พี่เจ้าหน้าที่อุทยานทุกคนใจดีและน่ารักทุกคนค่ะ คอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือตลอด มาพักบนเขาแบบนี้ อย่ายึดติดกับความสะดวกสบายนะคะ เพราะไม่มีหรอกที่นอนนุ่มๆ แอร์หรือฮีตเตอร์ แม้แต่เครื่องทำน้ำอุ่น ดังนั้น น้ำที่เราใช้อาบนี่ให้ความรู้สึกเหมือนเอาน้ำแข็งละลายมาราดตัวแท้ๆ อาบไปก็ได้ยินเสียงประกอบจากหลายคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน (อู๊ยยย….ซี๊ดดดด….อื๊ยยยย)
“ดอยเสมอดาว” จุดที่เรากางเต้นท์กัน ถ้าในวันที่ฟ้าเปิด อากาศดี จะเห็นหมู่ดาวมากมายเลยค่ะ แต่ช่วงที่เราไปมีเมฆมาก แถมฝนตกตอนกลางดึกอีก ส้มเลยอดเห็นดาวเต็มท้องฟ้าแบบที่วาดฝันไว้ ซ้ำร้ายเช้ายังอกหักซ้ำสองที่อดเห็นแสงแรกของพระอาทิตย์ด้วย (ฮือออ ฟ้าฝนกลั่นแกล้ง) ถึงแม้จะไม่เห็นดาวอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ยังไงก็มีอย่างอื่นมาทดเเทน ก็วิวยอดเขาแบบพาโนราม่าไงคะ แค่ยืนดูก็มียิ้มได้แล้วล่ะ นอกจากดอยเสมอดาวแล้ว หลายคนก็เดินขึ้นไปชมวิวที่ผาหัวสิงห์ด้วยนะ แต่ตอนที่ส้มไปถึงมันเย็นมากแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าห้ามขึ้น เพราะทางมันชัน อันตราย เดี๋ยวจะมองทางไม่เห็นน่ะค่ะ
เดินถ่ายรูปเล่นแถวดอยเสมอดาว
ลานดูดาว (แต่ไม่มีดาวให้ดูง่า)
ณ ผาหัวสิงห์ (เห็นตัวสิงห์ด้านหลังกันมั้ยจ๊ะ)
วันที่ 3 : ชื่นใจอากาศยามเช้า ขับรถไต่เขาสูง ชื่นมื่นร่วมงานแต่ง
วันที่สามนี่เมาขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตี 5 (กะว่าจะชมแสงแรกของวัน) ตอนที่อาบน้ำ นั่งดูดาวสมใจแล้ว เวลาก็แค่ 3 ทุ่ม แต่พอหัวถึงหมอนปุ๊บ หลับปั๊บเลยค่ะ แต่ก็มีอันตื่นกลางดึก (เที่ยงคืนกว่า) เมื่อมีกลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งมาถึง ระหว่างกางเต้นท์ก็คุย กางเสร็จก็คุย คุยกันไม่พอยังเปิดเพลงจากมือถือนั่งร้องกันอีก ปาเข้าไปเกือบตีสามน่ะค่ะพวกนั้นถึงเข้านอน เลยอยากฝากบอกคนที่ไปกางเต้นท์นอนว่า เต้นท์มันไม่ได้เก็บเสียงนะคะ คุณต้องเกรงใจคนอื่นๆ ที่พักอยู่ใกล้ๆ กับคุณด้วย ทั้งคนที่คุยกันเสียงดัง และคนที่ตั้งวงก๊งเหล้ากัน กินกันไม่มีใครว่า แต่อย่าลืมว่าทั้งป่า ไม่ได้มีแค่คุณอยู่แค่กลุ่มเดียว
หลังจากกึ่งหลับกึ่งตื่นจนถึงตีสาม ก็ได้เวลาหลับสนิทซะที แต่เราก็ต้องรีบตื่นมาตอนตี 5 ครึ่ง เพราะหมายจะได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า รออยู่นานจนเกือบ 7 โมง พระอาทิตย์ก็ขึ้นค่ะ แต่ขึ้นแบบไม่มีเส้นแสงของดวงอาทิตย์ให้ถ่ายรูป เพราะเมฆบังหมด ทั้งเศร้า ทั้งหนาว เลยขอกลับมาตายรังที่เต้นท์เล็กๆ ที่แสนอบอุ่น (กว่าข้างนอก) ดีกว่า
ถึงไม่เห็นดาว แต่ก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์
สองวันที่ผ่านมาทำให้ส้มได้สัมผัสเมืองน่านในหลายแง่มุม และไม่ผิดหวังเลยที่เลือกมาเที่ยวที่นี่ ใจหายเพราะเหลือเวลาอีกแค่สองวันก็ต้องกลับเมืองกรุงซะแล้ว ถึงจะเหลือเวลาน้อยแต่ก็จะเก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุดค่ะ เช้านี้เราเลยเลือกไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติอีกที่หนึ่ง “อุทยานแห่งชาติขุนสถาน” นั่นเอง
ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ตลอดการเดินทาง พอมาถึงถ่ายรูปไม่เกิน 10 ภาพ ><
พอขากลับเลยลงทางที่ชาวบ้านชาวช่องเขาใช้กัน (ค่อยยังชั่ว) ระหว่างทางเจอร้านขายสตอเบอร์รี่เลยลงไปซื้อแล้วขอเข้าไปดูไร่สตอเบอร์รี่ด้วย อุตส่าห์ขับรถขึ้นเขามา 2 ชั่วโมงกว่า ได้ถ่ายรูปภูเขา – สตอฯ สิบกว่ารูป ขอบคุณนะ (><“) หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่งานแต่งพี่ที่อำเภอเวียงสา ถึงแม้วันนี้จะเที่ยวได้น้อยที่ แต่ขอบอกว่าจะไม่มีวันลืมทางขึ้นเขาอุทยานแห่งชาติขุนสถานครั้งนี้เลยจริงๆ ค่ะ (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ตอนนั้นอย่าว่าแต่ถ่ายรูปเลยค่ะ นั่งยังแทบไม่ติดเบาะ ลุ้นชะมัดเหอะ)
ไร่สตอเบอรี่ที่ตามหา
ลูกไม่ใหญ่ แต่รสชาติดี
ซื้อแบบเป็นถ้วย
ซื้อแบบถุง (100 บาทจ้า)
วันที่ 4 : ส่งท้ายการเดินทาง เก็บตกตะลอนกิน-เที่ยว
การมาเที่ยวเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เนอะ ไม่เหมือนเวลาทำงาน อันนั้นผ่านไปช๊าช้า 555 เข้าสู่วันที่สี่ วันสุดท้ายก็การมาเยือนเมืองน่านครั้งแรกแล้วล่ะค่ะ วันนี้เรามีเวลาเที่ยวเต็มๆ อีกหนึ่งวัน เพราะขึ้นเครื่องตอน 20.35 น. โน่นแน่ะ ส้มเลยขับรถกลับเข้ามาในตัวเมืองจังหวัดน่าน แต่ก่อนเที่ยวต้องเติมพลังกับมื้อเช้าแบบพื้นเมือง (อีกแล้ว) คราวนี้ขอทานขนมจีนน้ำเงี้ยว ที่ร้าน“ข้าวซอยต้นน้ำ” ที่นี่ทั้งน้ำเงี้ยว และข้าวซอยอร่อยทั้งคู่เลยค่ะ ราคาไม่แพงด้วย ปลื้ม 🙂
ได้มาทานซะที อยากรู้่ว่าจะอร่อยสมคำร่ำลืออ่ะป่าว
ขนมจีนน้ำเงี้ยวมาแล้วจ้า รสชาติดี
มีน้ำเงี้ยวก็ต้องมีข้าวซอย
ทานข้าวเสร็จสรรพแล้วก็รีบไปซื้อตั๋วนั่งรถรางชมเมืองที่ “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวน่าน” ค่าบริการคนละ 20 บาท ใช้เวลาในการนั่งรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ ได้ค่ะ บนรถจะมีเจ้าหน้าที่คอยบรรยายประวัติศาสตร์เมืองน่าน ฟังไปถ่ายรูปไปเพลินดีค่ะ
พาหนะของเรา
ระหว่างนั่งรอรถรางในรอบของตัวเอง ก็แวะชิมชาก่อน (ร้านอยู่ในศูนย์ฯ เลยค่ะ)
ชาโครงการหลวง หอมละมุน
ชมวิวระหว่างนั่งรถ นี่คือคุ้มเก่าแก่ อายุหลายสิบปีเลย
พาแวะเที่ยววัดสวนตาล มีมัคคุเทศก์น้อยคอยบรรยายให้นักท่องเที่ยวฟัง
มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย
จุดแวะถ่ายรูปอีกแห่ง คุ้มอะไรจำชื่อไม่ได้อ่ะ แหะๆ
มีสาธิตขั้นตอนการทอผ้าไหมด้วยค่ะ
ขอถ่ายรูปกับคุณยาย (คุณยายน่ารักมากค่ะ คุยเก่งด้วย)
เมื่อรถรางพาเราชมเมืองเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเวลาอีกเยอะแล้วจะไปเที่ยวที่ไหนกันต่อดี ตอนแรกส้มตั้งใจจะเที่ยววัดในตัวเมืองน่านในวันนี้ เพราะในเมืองมีวัดสวยๆ เยอะ ทั้งวัดภูมินทร์ วัดศรีพันต้น วัดมิ่งเมือง ฯลฯ แต่ใจก็อยากไป “หอศิลป์ริมน่าน” ด้วย แต่ปัญหาอยู่ตรงหอศิลป์ฯ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 23 กม. เวลาตอนนั้นประมาณ 11 โมงกว่าๆ แล้ว แต่คุณแฟนบอกว่าไปทันอยู่แล้ว เวลาเหลือเฟือ เลยตัดสินใจไปเที่ยวหอศิลป์ฯ ที่นั่นก็จัดแสดงนิทรรศกาลภาพถ่าย ภาพวาด และประติมากรรมมากมายเลยค่ะ แต่ที่ส้มชอบสุดคือ ภาพถ่ายและประวัติของจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดต่างๆ ของเมืองน่าน เพราะถ้าเราไปชมภาพวาดในสถานที่จริง เราก็อาจจะไม่รู้ความหมายของภาพก็ได้ นี่เลยเป็นการปูพื้นฐานก่อนไปชมของจริงค่ะ (เสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูป)
ถึงแล้ว หอศิลป์ริมน่าน
เข้ามาชมการจัดแสดงด้านในดีกว่า “ภาพวาดฝีพระหัตถ์ จากสมเด็จพระเทพ”
ชมด้านนอกอาคารกันบ้าง
แอบต๊กกะใจ เจองูหน้าห้องน้ำ แทบช็อค
เดินชมงานศิลปะเสร็จ (คือมันไม่ใช่แนว ไม่เก็ต ไม่อาร์ทพอ) ก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำว่าให้ลองไปเที่ยวที่หมู่บ้านไทลื้อ อยู่ที่อำเภอท่าวังผา ซึ่งห่างจากหอศิลป์ไปอีก 30 กม. แค่ได้ยินระยะทางก็หวาดๆ แล้ว แต่คุณแฟนก็ยังคอนเฟิร์มว่าไปได้ ไอ้เราก็ไม่รู้หรอกว่าหมู่บ้านนี้มันมีดียังไง แต่เมื่อคุณแฟนบอกว่าขับรถแป๊บเดียวก็ถึง ก็ใจง่าย (ตามเคย) ขับรถไปกันอีกล่ะ…แต่มันก็แป๊บเดียวจริงๆ นะคะ เพราะถนนดี ลาดยางตลอดเส้นทางเลยค่ะ
พอไปถึงอีชั้นหาหมู่บ้านไทลื้อไม่เจอค่ะ คอยถามชาวบ้านแถวนั้น ขับรถวนอยู่สองรอบ พอได้เห็นสถานที่ที่ถูกเรียกว่า “หมู่บ้านไทลื้อ” เท่านั้นแหละ แหม่!! ไม่น่าขับรถมาเล๊ย อย่าใช้คำว่าหมู่บ้านเลยคุณพี่ โปรดใช้คำว่า “บ้าน” ไทลื้อเถอะเจ้าค่า เพราะมันมีหลังเดียว!!! หมู่บ้านนี่มันต้องเป็นสิบๆ หลังสิเจ้าค่ะ (หลอกกันทำไม ฮะ หลอกกันทำไม) ดีนะได้ของปลอบใจเป็นผ้าไหมไทลื้อของแท้ เอากลับไปเป็นของฝากคุณแม่ค่ะ ไม่งั้นเจ็บใจยิ่งกว่านี้อีก อ่อ นอกจากมีผ้าไหมแล้วก็ยังมีสิ่งปลอบใจอีกอย่างคือ “วัดหนองบัว” เพราะเป็นวัดเก่าแก่ แถมมีจิตรกรรมฝาผนังอายุหลายร้อยปีที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือของช่างชาวไทลื้อ บรรยากาศล้านนาได้ใจดี ชอบๆ (หมู่บ้าน หรือบ้านไทลื้ออยู่หลังวัดเลยค่ะ)
แวะชมวิวข้างทาง ระหว่างหาหมู่้บ้านไทลื้อ
เจอซะที(หมู่)บ้านไทลื้อ
ทอผ้ากันให้เห็นเลย
สีสันสดใสอย่างนี้ ขอซื้อฝากแม่ซัก 3 ผืน
มาวัดหนองบัวด้วย
ทริปงอกวันนี้ค่อนข้างเยอะ ทั้งหอศิลป์ริมน่านและ(หมู่)บ้านไทลื้อ รู้ตัวอีกทีก็บ่าย 3 โมงแล้ว เลยรีบกลับเข้าตัวเมืองมากินข้าวที่ “สวนอาหารเรือนแก้ว” เพราะเคยไปอ่านเจอรีิวิวนึงของคนน่านว่าที่นี่อาหารอร่อย ส้มกับแฟนเลยสั่งอาหารกันแบบไม่ยั้งมือ สุดท้ายแล้ว ไม่เห็นอร่อยเลยอ่ะ โดยเฉพาะน้ำพริกอ่อง ที่คาดหวังว่าต้องอร่อยมากๆ นอกจากไม่อร่อยรสชาติยังพิลึกอีกตังหาก (สงสัยเค้าใส่ถั่วเน่าเยอะ เลยไม่คุ้นลิ้น) แต่มันก็คงแล้วแต่รสนิยมคนด้วยมั้งค่ะ แต่ส้มกับแฟนสรุปว่าร้านนี้เราสองคนว่าไม่ผ่านอ่ะ
เริ่มต้นด้วย ออเดิร์ฟเมือง
กบทอดกระเทียม (ตัวเล็ก เนื้อน้อยไปนะ)
ยำทะเลมาแล้ว
ต้มโคล้ง
ไหนล่ะ เที่ยววัด จะได้เวลากลับไปเป็นสาวชาวกรุงอยู่และ ยังไม่เห็นเข้าวัดเลย (ยกเว้นวัดสวนตาล ที่เค้าให้เเวะตอนนั่งรถราง) แต่ไม่ไปวัดไหนไม่เป็นไร แต่ต้องไปวัดนี้ “วัดภูมินทร์” เพราะนอกจากเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองแล้ว ที่นี่ยังมีจิตรกรรมฝาผนัง ที่ไม่รู้ใครตั้งชื่อภาพนั้นว่า “กระซิบรักบรรลือโลก” แหม! ชื่อสยิวกิ้วจัง ดูเวลาแล้ว แม่เจ้า 4 โมงแล้ว โบสถ์จะปิดรึยังเนี๊ยะ บึ่งรถไปโดยด่วน ในที่สุดบุญยังมีได้ทันเข้าไปไหว้พระ ถ่ายรูปเล็กๆ น้อยๆ เย้ๆ Mission Completed ^__^
หน้าวัดภูมินทร์ หลังฝนตก
พระพุทธรูปสี่ทิศ
ที่มาของสัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ “ภาพกระซิบรักบรรลือโลก”
จิตรกรรมฝาผนัง
เวลาเหลืออยู่นิดหน่อย เลยขอไปเก็บภาพวัดศรีพันต้นกับวัดมิ่งเมืองซักนิดนึงนะ…เมื่อทุกภารกิจเสร็จสิ้น ก็ได้เวลามาเช็คอินรอขึ้นเครื่องกลับเมืองหลวง เมืองแห่งความวุ่นวายซะที (สรุปนี่ชั้นมาเที่ยว หรือว่าแรลลี่ หาอาร์ซีกันแน่หว่า จะรีบทำเวลากันไปถึงไหน)
วัดศรีพันต้น (ตอนกลางคืนสวยกว่าเยอะเลย)
วัดมิ่งเมือง ให้อารมณ์เหมือนวัดร่องขุ่นที่เชียงรายเลย
ก่อนกลับต้องไม่พลาด “ส่งโปสการ์ด” เพื่อบันทึกความทรงจำดีๆ นี้ไว้
เวลา 4 วันที่ได้มาเยือนจังหวัดนี้ จริงๆ ส้มว่าน้อยไปหน่อย เพราะยังมีอีกหลายที่ที่ส้มอยากไปสัมผัส ส้มอยากมีเวลาซึบซับเรื่องราวต่างๆ ได้มากกว่านี้ แต่วลาสั้นๆ นี้ มันก็ทำให้คนๆ นึงหลงรักที่นี่ได้แล้วค่ะ และหากมีโอกาสส้มขอกลับไปเยือนเมืองที่แสนอบอุ่นนี้อีกครั้ง แล้วเราคงได้พบกันอีก ณ น่าน
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand