Passion and Fusion at Tokiya
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ววว เอ้ย เมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างอู้งาน (เจ้านายรู้ความลับหมดเลย) ก็เปิดเว็บนั้น เว็บนี้่ไปตามประสา แต่ไม่ลืมว่าเว็บงานก็ต้องเปิดไว้ด้วยเช่นกัน ….เห็นม่ะ ไม่เค๊ยไม่เคยทิ้งงาน เว็บที่เรียกได้ว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้เลย คือ pantip.com ห้องก้นครัวค่ะ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับชื่อร้านอาหาร “Tokiya” ที่เจ้าของกระทู้บอกว่า ร้านเปิดใหม่ ฮั้นแน่!!! มีร้านใหม่อย่างงี้ มีหรอที่ส้มจะพลาด
เปิดเข้าไปอ่านในรีวิว แม่เจ้าเว้ย อาหารหน้าตาหน้ากินทั้งน้าน อ่านไปเรื่อยๆ ก็ได้ข้อมูลคร่าวๆ ว่า ร้านอาหารโทกิยะเพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน เน้นอาหารแนวฟิวชั่น แต่ที่ทำให้ตาลุกวาวและอยากไปลิ้มไปลองชิม ก็คือเหตุผลที่ว่า ร้านนี้มีการเสิร์ฟอาหารเป็นคอร์ส ที่ราคาแค่คอร์สละ 499 บาทเองค่ะ
ฟังดูเหมือนแพง (ก็แพงแหละ) แต่แลกกับประสบการณ์ใหม่ๆ กับการทานอาหารแนวนี้ และเิสิร์ฟแบบนี้ ราคานี้สมเหตุสมผลอยู่นะค่ะ แล้วโชคก็เข้าข้างเราเมื่อรู้ว่าถ้าใครมีบัตรเดี่ยว 9 ของพี่โน๊ต สามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดได้ 10 % ไอ้เราเพิ่งไปดูมาหมาดๆ บัตรยังเก็บไว้ เอาล่ะ คราวนี้ต้องไปให้ได้!!
เมื่อเงินพร้อม เวลาพร้อม และผู้ร่วมทริปพร้อม เราก็มุ่งหน้าไปที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น 2 เมื่อมาถึงหน้าร้านก็เห็นคุณตัน โออิชิ มายืนต้อนรับ (ตัวปลอมอ่ะ อิอิ) ก็เพราะร้านนี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของคุณตันนั่นเองค่ะ แหม อ้วน กลม ตุ้ยนุ้ยเชียวนะค่ะคุณตันขาาาา
คุณตันค่ะ มีส่วนลดเยอะๆ มั้ยค่ะ
กัปตันมาคุมเอง
ระหว่างรอพนักงานร้านก็เข้ามาถามจำนวนคนที่มาทาน ระหว่างรอก็ตามเคยค่ะ ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นข้อมูลมาฝากเพื่อนๆ แป๊บเดียวพนักงานคนสวย น่ารัก ใจดี ก็เข้ามาเชิญไปที่โต๊ะของเรา พอเข้ามาด้านในถึงรู้ว่า “โอ้โห ร้านใหญ่ใช่ย่อย โต๊ะก็เยอะ แต่คนเต็มหมดทุกที่คร้า”
ถ่ายรูปรอไปก่อน
ของตกแต่งร้าน (อยากได้อ่ะ)
พอก้นหย่อนถึงเก้าอี้ปั้บ พนักงานเสิร์ฟก็เริ่มทำหน้าที่อย่างแข็งขันทันที ด้วยการนำเมนูมาให้ และแนะนำว่าเราต้องสั่งอาหารอย่างไร วิธีการเสิร์ฟของที่นี่เป็นอย่างไร นอกเหนือจากความประทับใจกับการบริการจากพนักงานต้อนรับแล้ว พนักงานเสิร์ฟนี่ทำให้เราประทับใจแบบสุดๆ เรียกได้ว่า เต็ม 100 หนูขอให้พี่เลย 1000 คะแนน คือพี่แกโค้งตัวซะอย่างกะได้รับการเทรนด์มาจากแดนอาทิตย์อุทัยโดยตรง คำพูดนี่แสนจะสุภาพเรียบร้อย ทำให้เคลิ้มไปว่า เรากำลังนั่งทานอาหารอยู่ในโรงแรม 5 ดาว (โรงแรม 5 ดาวบางที่ๆ ไป พนักงานยังไม่เลิศเท่านี้เลย)
ได้ที่นั่งแล้ว สำรวจโต๊ะก่อนเลยแล้วกัน
อาวุธครบมือ
เมนูมาแล้วจ้า
พี่พนักงานอธิบายให้เราฟังว่าอาหารคอร์สนึงจะประกอบไปด้วย 1. Appetizer 2. Salad 3. Soup 4. Rice dishes 5. Main Course 6. Dessert 7. Drink โดยเลือกได้อย่างละ 1 จาน ยกเว้น Appetizer ที่ไม่มีให้เลือก เพราะทางร้านมีเมนู Tokiya Style Eringi หรือ เห็ดเออรินจิผัดซอสโทกิยะค่ะ
ระหว่างรอก็ดื่มชาเขียวไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน
สำหรับเงื่อนไขในการทานครั้้งนี้ ของเราเองนะค่ะไม่เกี่ยวกับร้าน คือ เราไปกันสองคนถ้าอยากกินหลายๆ อย่าง ต้อง “ห้าม” สั่งซ้ำกัน เราจะได้ชิมโน่นบ้าง นี่บ้าง เอาให้คุ้มค่ะ (ถึงแม้จะอยากกินเหมือนกัน ก็ห้ามสั่งเหมือนกัน 555+)
มาเริ่มที่จานแรกก่อนเลยนะค่ะ Appetizer เห็นหน้าตาอาหารแล้วตัดสินไปก่อนว่า “แหม..น้่อยจัง สีสันก็งั้นๆ จะอร่อยมั้ยนะ” พอได้เคี้ยวเท่านั้นแหละ โอ้ววว อร่อยอะ เห็ดกร๊อบกรอบ ซอสก็เข้มข้น เคี้ยวเพลินเกินห้ามใจจริงๆ ค่ะ ถ้าสั่งเพิ่มได้สั่งไปแล้ว
จานแรกมาแล้ว หน้าตาธรรมดา แต่รสชาติขั้นเทพ
หม่ำด้วยกันมั้ยค่ะ
จานที่ 2 Salad มีให้เลือก 4 อย่างค่ะ แต่ที่เราเลือกมามี สลัดอกเป็ดรมควัน กับ สลัดมะเขือเทศ ค่ะ สำหรับสลัดอกเป็ดเราไม่ค่อยชอบน้ำซอสแบบญี่ปุ่น กินแล้วเลี่ยนยังไงก็ไม่รู้ ส่วนสลัดมะเขือเทศ Present ได้สวยงามเชียวค่ะ เพราะเค้าเล่นเิสิร์ฟมะเขือเทศทั้งลูกมาเลยทีเดียว
อุ้ย! จัดจานซะไม่กล้ากินเลย เสียดายความสวย
มะเขือเทศสดๆ
อกเป็ดรมควัน ชื่อหรูดี แต่เราไม่ค่อยปลื้มในรสชาติ
จานที่ 3 Soup มีให้เลือก 4 อย่างเช่นกันค่ะ มีซุปเนื้อโทกิยะ ซุปต้มโคล้ง มิโสะครีมซุป และ ล็อบเตอร์ซุป ทายซิค่ะว่าส้มเลือกอันไหน อย่างส้ม เรื่องงกไม่เป็นสองรองใคร ขอเลือกอย่างหลังสุดเลยค่ะ ล็อบเตอร์ซุป ชื่อก็ไฮโซ แถมไมได้หาทานได้ง่ายๆ ส่วนคนข้างๆ เลือก ซุปเนื้อโทกิยะ แล้วส้มก็ไม่ผิดหวังค่ะ ล็อบเตอร์ซุปอร่อย เข้มข้น โดนใจ ส่วนซุปเนื้อนั่น รู้สึกรสชาติมันเฉยๆ น่าตามันเหมือนซุปเยื่อไผ่เลยอ่ะ
ล็อบเตอร์ซุป เข้มข้นได้ใจจริงจริ๊ง
ซุปเนื้อโทกิยะ
จานที่ 4 Rice dishes อันนี้มีให้เลือกแค่ 2 อย่างค่ะ คือ ข้าวทอดญี่ปุ่นทรงเครื่อง กับ ข้าวอบสาหร่ายปลากรอบ สำหรับข้าวทอดญี่ปุ่นทรงเครื่อง น่าจะเป็นข้าวญี่ปุ่นปั้นเป็นก้อนๆ ชุบแป้งเล็กน้อยก่อนนำมาทอด ส่วนข้่างในก็มีใส้ รสชาติเข้มข้นดีค่ะ แอบได้กลิ่นเหมือนอัญชันด้วย แปลกดี ส่วนข้าวอบสาหร่ายปลากรอบ ส้มชอบตรงที่เค้านำข้าวไปใส่ในโอ่งเล็กๆ น่ารักเชียว แต่รสชาติจำไมไ่ด้จริงๆ ค่ะ ชิมไปจิ๊ดเดียวเอง
ชิ้นเล็กจุ๋มจิ๋มเชียวนะจ๊ะ
ข้างในมีอะไรซ่อนอยู่น้าา
เสิร์ฟอย่างงี้กันเลยทีเดียว
ดูกันเต็มๆ จ้า
เข้าสู่จานที่ 5 แล้ว จาน Main Course ที่เรารอคอย อันนี้มีให้เลือก 10 อย่างเชียวค่ะ ขอยกตัวอย่างยั่วน้ำลายเล่นนิดหน่อยนะ สเต็กเนื้อสันออสเตรเรีย สเต็กเนื้อสันโทกิยะ สเต็กหมูดำ คุโรบุตะ สเต็กไก่ย่างหนังกรอบ… ตอนแรกเลยส้มตั้งใจจะสั่งสเต็กสันคอหมูโทกิยะ เพราะในรีวิวที่ส้มอ่าน เ้ค้าบอกว่าเนื้ออร่อยมาก แต่ข่าวร้ายคือ “หมด” แงๆๆๆ ทำไมถึงทำกับชั้นได้ อ่ะ ให้อภัยเพราะพนักงานน่ารักหรอกนะ เปลี่ยนเป็น สเต็กรวมฟิลเลท์ปลาและเนื้อสัน ด้วยเหตุผลเดิมคือ คุ้มไว้ก่อน พ่อสอนไว้่ จานเดียวได้ 2 อย่าง 555+
ของส้มนั่นเอง
ส่วนอีกคนสั่งสเต็กเนื้อสันโทกิยะค่ะ ทั้ง 2 จานกินคู่กับซอสพริกไทยดำนะ อืมมมม อร่อยครับผม แต่กว่าจะใช้เวลากินจานนี้เสร็จ ก็เล่นเอาหมดแรงเลยนะค่ะ เห็นอาหารแต่ละจานเล็กๆ อย่างงี้ แต่ด้วยการเสิร์ฟที่ทำให้เราค่อยทาน ค่อยๆ ลิ้มรส มันก็ทำให้อิ่มแบบไม่รู้ตัวเลย แต่ถึงอิ่มยังไง งานนี้ไม่มีถอย ของอร่อยห้ามยอมแพ้ง่ายๆ นะตัวเธอว์ืื ^__^”
Main Course อีกจาน
สารพัดซอส
หมดไปแล้วกับภารกิจพิชิตของคาว คราวนี้เข้าสู่ภารกิจของหวานกันบ้างกับจานที่ 6 Dessert มีให้เลือก 4 อย่างค่ะ คือ โดมเผือกข้าวเหนียวดำ เยลลี่มิกเบอร์รี่ แพนนาค๊อดต้า สุดท้า่ยคือชีสเค้กและเจลลาโต้ (อัญชันเบอร์ี่รี่และตะไคร้กีวี่) ส้มเตรียมท้องไว้กินอย่างหลังสุด เพราะรีวิวเค้าก็บอกว่าอันนี้อร่อย แต่แล้วก็ผิดหวังซ้ำ 2 คือมัน “หมด” (อีกแล้วหรอเนี๊ยะ)
ในที่สุดเลยเลือก เยลลี่มิกเบอร์รี่ ส่วนอีกคนเลือกโดมเผือกข้าวเหนียวดำ เพราะเ้จ้าตัวเป็นพวก “เผือก เลิฟเวอร์” มั่ก ส้มเฉยๆ กับทั้ง 2 เมนูอ่ะค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะเสีย ‘รมณ์กับความผิดหวังซ้ำสอง หรือเพราะมันธรรมดาจริงๆ กันแน่ งานนี้เลยกินไม่หมดน่ะ
เผือกจ้าเผือก
แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้การทานอาหารค่ำมื้อนี้ จบลงอย่างสวยงาม พร้อมกับตัวอักษร “อวสาน” ลอยขึ้นมาที่หน้าจอ เฮ้ย!! นั่นมันละครเว้ย ไม่เกี่ยวกัน เฮ้อ…
สิ่งที่ทำให้การทานอาหารมื้อนี้ปิดฉากอย่างสวยงามคือ การที่ส้มเลือกชาผิวส้ม เป็นเมนูส่งท้าย ที่เลือกเพราะไม่เคยดื่มชาผิวส้ม เลยขอลองซะหน่อย แล้วมันก็ไม่ทำให้ส้มผิดหวังค่ะ ชานอกจากสีจะสวยแล้ว รสชาติและกลิ่นหอมที่โชยมาตั้งแต่ยังไม่ไ่ด้ดื่ม และพอดื่มไปก็อยากจะบอกว่า หลงรักชาผิวส้มของโทกิยะเลยล่ะค่ะ
อยากได้ชุดชากลับบ้านง่า
สีก็สวย กลิ่นก็หอม รสก็ดี คิดถึง….
ระยะเวลาในการทานอาหารที่ร้านโทกิยะ เราต้องมีเวลาซักหน่อยอย่างน้อย 1.30 ชม. นะค่ะ ถ้ามาแบบรีบๆ รนๆ ส้มว่าร้านนี้ไม่เหมาะกับการทานอาหารในระยะเวลาอันสั้นค่ะ ส่วนในวันนี้ส้มจ่ายค่าเสียหายไปทั้งสิ้น 899 บาท (ได้ส่วนลดพี่โน๊ต 10 % แล้วค่ะ)
ชดใช้ค่าเสียหาย
การได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ประสบการณ์ที่ได้มันมีคุณค่ามากเลยค่ะ อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้ชีวิตมีสีัสันขึ้นอีกเยอะ
ถ้าใครว่างๆ ก็ลองแวะไปทานดูได้นะค่ะ ที่ร้าน Tokiya สยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น 2 ราคาตอนที่ส้มไปคนละ 499 บาท แต่ไม่แน่ใจว่าจะราคานี้ตลอดรึเปล่า ถ้ายังไงลองโทรไปจองหรือสอบถามก่อนได้ที่เบอร์ 02-658-0015 ตั้งแต่เวลา 10:30 – 19:00 นะค่ะ สุดท้ายขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทานอาหารค่าาา ไปและ บ๊ายบาย
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand