“สังขละบุรี” สะพานมอญ ต้นไม้ และสายน้ำ
สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ไปสัมผัส ได้ไปทักทายกับเมืองเล็กๆ ที่มีชื่อว่า “สังขละบุรี” เมืองที่ซ่อนตัวอยู่ในขุนเขาของจังหวัดกาญจนบุรีนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเมืองเล็กๆ เเห่งนี้ ชั่งมีเสน่ห์มหาศาลเหลือเกิน ครั้งนี้ส้มจะพาทุกคนไปพิสุจน์ความจริงข้อนี้กันค่ะสังขละบุรี สถานที่แห่งนี้เริ่มจะคุ้นหูคนไทยมากขึ้นๆ น่าจะซักช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมามั้งค่ะ เเละส้มเชื่อว่ามันคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลายๆ คน ที่ตั้งปณิธานว่าครั้งหนึ่งจะต้องไปเยือนให้ได้ ส้มก็เช่นกันค่ะ ใฝ่ฝันมากว่าขอให้ได้ไปซักครั้งเถอะ ขอให้ได้เห็นเต็มตาว่าที่เค้าร่ำลือกันว่าสวยนักสวยหนามันเป็นยังไง
สังขละบุรีเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี และมีพื้นที่ติดกับประเทศพม่าค่ะ เราสามารถเดินทางไปที่สังขละโดยใช้เส้นทาง 323 ได้เลย (รับรองว่าไม่มีหลงค่ะ อิอิ) แล้วคนทั่วไปยังรู้จักเมืองนี้ในฐานะที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวมอญอีกด้วย ทำให้การเที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธ์ของธรรมชาติ แบบที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง เรายังจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตทั้งจากชาวไทย และชาวมอญไปพร้อมกันด้วยค่ะ นี่แหละค่ะอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองนี้ (มีชาวมอญก็ต้องมีสะพานมอญแน่นอนจ้า อิอิ)
ส้มต้องขอออกตัวก่อนเลยนะค่ะว่าอาจจะให้ข้อมูลของเมืองนี้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังไงเพื่อนๆ ลองดูข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หรือเว็บไซต์อื่นๆ ประกอบดูก็ได้นะค่ะ แหะๆ – -“
หากเราๆ ท่านๆ เดินทางไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี (ตัวอำเภอเมืองนะค่ะ) คงจะใช้เวลาแค่ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ถึงแม้อำเภอสังขละบุรีจะอยู่ในพื้นที่เดียวกับจังหวัดกาญฯ ก็ใช่ว่าจะใช้ระยะเวลาเดินทางใกล้เคียงกันแต่อย่างใด เพราะว่าหากขับรถจากกรุงเทพไปถึงสังขละ ก็กินเวลาไปกว่า 4-5 ชั่วโมงทีเดียวค่ะ (ดีนะที่เราไม่ได้เป็นคนขับ ไม่งั้นคงได้ขับจนเมื่อยแน่เลย อิอิ) ระหว่างทางช่วงแรกๆ ถนนก็จะเป็นทางตรงไม่ค่อยมีคดมีเคี้ยวเท่าไหร่ พอผ่านไปซักพักคนขับทุกคนคงต้องใช้สมาธิและความสามารถหน่อยล่ะค่ะ เพราะว่าทางมันทั้งชันบ้าง โค้งบ้าง ขึ้นๆ ลงๆ ไปเรื่อย บางทีแอบทำให้หูอื้อหรือเมารถเอาได้เหมือนกันนะค่ะ แต่ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จค่ะ มาถึงจุดหมายปลายทางก็ปาเข้าไปเที่ยงพอดิบพอดี ท้องงี้ส่งเสียงดังระงมเลยค่ะ 555+
เมื่อเวลาในการมาถึงเหมาะเจาะขนาดนี้ เราก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ความเป็นชาวสังขละให้ได้มากที่สุดด้วยการไปกินอาหารแบบชาวมอญแท้ๆ กันก่อนเลย แล้วเราก็เลือกร้านที่คิดว่าน่าจะดีอยู่แถวสะพานมอญเลยค่ะ ทำเลดีใช้ได้เลยนะเนี๊ยะ (คำว่าดีในสายตาเราคือ อาหารนี่เน้นอาหารพื้นเมืองค่ะ ถ้าสะอาดหน่อยก็จะดีมาก และที่สำคัญ คืออาหารท่าทางจะอร่อยนั่นเองจ้า)
มาถึงตลาด (ฝั่งมอญ) แล้วจ้า
การันตีว่าของแท้ขนาดนี้ ก็ลุยกันเลยดีกว่าค่ะ
บรรยากาศในร้านค่ะ (จำชื่อร้านไม่ได้อ่ะ ขอโทษคร้าบบ)
ร้านที่ส้มเลือกน่าจะเป็นร้านชื่อดังในสังขละอยู่นะค่ะ เพราะเห็นใครไปใครมาก็มากินร้านนี้ ส่วนอาหารแบบชาวมอญแท้ๆ ก็ต้องยกให้เมนูนี้ค่ะ “ขนมจีนหยวกกล้วย” อ่านไม่ผิดค่ะ หยวกกล้วยจริงๆ พวกเราอาจจะคุ้นกับการเอาหยวกกล้วยมาทำพวกกระทงมากกว่า แต่ชาวมอญเค้านำมาเป็นส่วนหนึ่งในการทำน้ำยาหยวกกล้วยค่ะ รสชาติหรอค่ะ ส้มขอบอกว่าอธิบายไม่ถูกค่ะ เพราะไม่เคยกินอะไรรสแนวๆ นี้มาก่อน แต่ก็พอกินได้ เพราะส้มชอบลองกินอะไรแปลกๆ อยู่แล้วอ่ะ 555+
หน้าตาของขนมจีนหยวกกล้วยค่ะ
ส่วนนี่ขนมจีนน้ำยากะทิค่ะ (ไม่เหมือนกะทิที่เรารู้จักนะค่ะ แถมมีกระเทียมเจียวโรยหน้าด้วยล่ะ)
เครื่องปรุงก็ประกอบด้วยพริก น้ำปลาและน้ำมะขามเปียกค่ะ (มีผักเป็นเครื่องเคียงด้วยค่ะ)
กินอิ่มแล้วเราก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูปที่สะพานมอญซักหน่อยค่ะ อุตส่าห์มาถึงสังขละบุรีจะพลาดสถานที่นี้ได้ไง ถ้าไม่มาเค้าจะคิดว่าเรามาไม่ถึงนะค่ะ สะพานมอญที่ส้มเห็นเค้าได้มีการบูรณะใหม่ค่ะ ไม้ที่เห็นจึงยังใหม่อยู่เลยแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ความสวยงามแบบเดิมๆ จางหายไปนะค่ะ ระหว่างที่เราเดินเล่นก็จะมีเด็กๆ มาแนะนำ เอ่อ..เชิญชวน(แบบเกาะติด)มากกว่า ว่ารู้จักประวัติสะพานหรือยัง จะแนะนำให้ฟังอะไรประมาณนั้น ตอนแรกก็เฉยๆ ซักพักชักจะมากันเยอะ จนทำให้เราแทบไม่ได้ถ่ายรูป ก็แอบหงุดหงิดเล็กๆ เหมือนกันค่ะ แต่ก็ปฏิเสธน้องไปแบบดีๆ นี่แหละ กว่าน้องจะยอมไปก็ใช้เวลานานอยู่ เฮ้อ! เล่นเอาเหนื่อย (สิ่งที่ไม่ค่อยประทับใจที่สุดในทริปนี้คงเป็นแนวนี้แหละค่ะ เพราะเจอตลาดทริปเลย แงๆๆ)
ได้เห็นกับตาซักทีนะค่ะ “สะพานมอญ”
วิวด้านล่าง เมื่อมองจากสะพานค่ะ สวยจับใจเลยล่ะค่ะ
ขอบ้างไรบ้างนะค่ะ อิอิ
เดินเล่นที่สะพานมอญสมใจแล้ว เราก็อยากพักสายตาซักหน่อย (ก็เล่นออกเดินทางแต่เช้าตรู่น่ะค่ะ เลยของีบหน่อยนะ นะ นะ) เราจองที่พักไว้ที่ พี. เกสต์เฮ้าส์ แอนด์ คันทรี่ รีสอร์ทค่ะ เพราะเคยอ่านในรีวิวแล้วก็ประทับใจราคามาก ก็ราคาห้องละ 250 บาท ไม่ได้พิมพ์ตกเลขศูนย์แต่อย่างใดค่ะ ถูกมั้ยละค่ะ!!! (ให้ใจเจ้าของเลยอ่ะ) เห็นราคาอย่างงี้ส้มจะพลาดได้ไงค่ะ ก็ส้มไม่เน้นนอนเท่าไหร่ เน้นเอาเงินไปกินดีกว่า 555++
ที่พี. เกสต์เฮ้าส์ มีห้องให้เลือกหลายแบบค่ะ ทั้งแอร์ พัดลม หรือจะชิลๆ ด้วยการกางเต้นท์ ส้มเลือกพักห้องพัดลมค่ะ 250 บาทเอง ช๊อบชอบอ่ะ แล้วก็ซื้อแพ็คเก็จเที่ยวเพิ่ม รวมทั้งสิ้น 950 บาท/คนค่ะ ถ้าอยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ในเว็บไซต์ของเกสต์เฮ้าส์ได้เลยจ้า
โซนห้องแอร์ค่ะ
โซนห้องพัดลมจ้า
ที่นี่ถึงจะไม่ได้เห็นวิวสะพานมอญแบบเต็มๆ เหมือนที่สามประสบ รีสอร์ท แต่ส้มก็ชอบนะค่ะ เพราะถึงแม้จะห่างไกลจากสะพานมอญ แต่เราก็ได้ของแถมเป็นวิวของเจดีย์พุทธคยาแทนจ้า ในห้องพักก็ไม่มีอะไรมาก เตียงคู่ กระจกและโต๊ะเล็กๆ 1 ตัว ส่วนห้องน้ำรวมค่ะ (แยก ช/ญ จ้า) แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ อ่อ ลืมบอกไปที่นี่สะอาดใช้ได้เลยนะค่ะ (ขอโทษด้วยค่ะที่ไม่ได้ถ่ายรูปห้องนอนมา)
วิวจากเกสต์เฮ้าส์ค่ะ เลิศอยู่นะจ๊ะ
ระหว่างเพลิดเพลินกับการหลับใหลอยู่นั้น สิ่งที่เรากลัวว่าจะเกิดก็มาถึง “ฝนตก” แง~~~ จากที่วางแผนว่าจะไปถ่ายรูปสะพานมอญจากมุมด้านล่าง ไปสำรวจเมืองเพิ่มเติมก็กลับล่มสลายในพริบตา แต่พอฝนซาเราก็ไม่ยอมแพ้ไปลุยถ่ายรูปต่อที่จุดชมวิวของสังขละค่ะ หลังจากนั้นก็แวะไปดูตลาดเย็นซะหน่อย (เอ่อ..ตลาดเย็นในที่นี้ไม่ได้มีร้านค้าเป็น 10 ร้านแต่อย่างใดนะค่ะ มีแค่ 4-5 ร้าน ชาวบ้านบอกว่าถ้าไปวันพุธจะเยอะค่ะ)
จุดชมวิวที่นี่อลังการงานสร้างมากค่ะ
เห็นสะพานมอญอยู่ไกลๆ (ท้องฟ้าไม่เป็นใจเล้ย)
เรามาหาของกินแปลกๆ ที่ตลาดเย็นกันดีกว่า เริ่มที่ “ยำหูหมู” อร่อยอยู่นะค่ะ ถึงแม้ว่าส่วนประกอบจะค่อนข้างแปลกมาก!!
ทายซิ อะไรเอ่ย??? ผักบุ้งทอดนี่เองค่ะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น..
บรรยากาศบางส่วนจ้า
เริ่มต้นเช้าวันที่สองด้วยการเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ด้วยการไปทำบุญตักบาตรกันค่ะ ตื่นมาตอนตี 5 เพื่อไปให้ทันตักบาตรช่วง 6 โมงแถวตลาดฝั่งมอญ (ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีทางตื่นเช้าขนาดนี้แน่นอนค่ะ อิอิ) ภาพที่เห็นทำให้ส้มประทับใจมากเลยค่ะ เพราะว่าส้มเห็นทั้งชาวไทยและชาวมอญที่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมาตลอด ยืนรอพระสงฆ์กันเป็นแถวยาวเหยียด มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่วัยรุ่น บ้างก็ถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศแสนประทับใจ บ้างก็ยืนรออย่างสงบ แต่ทุกๆ อย่างที่เห็นมันดูลงตัวมากเลยล่ะค่ะ
ภาพความประทับใจอีกหนึ่งสิ่งที่ได้จากทริปนี้ค่ะ
พี่คนนี้เนี๊ยะ ดาราประจำเช้านี้เลยนะค่ะ ก็จะไม่ให้เด่นดังได้ไงล่ะเนอะ
ทำบุญเสร็จแล้วขอสำรวจตลาดเช้าของพี่น้องชาวมอญหน่อยนะค่ะ
ตลาดมีแต่ของแปลกที่ไม่ค่อยกล้าลิ้มลองเท่าไหร่ เลยขอไปแวะเที่ยวที่เจดีย์พุทธคยาแล้วกันค่ะ
อลังการงานสร้าง (แต่ด้านในไม่ค่อยได้รับการดูแลรักษา แอบสกปรกค่ะ เสียดายมากเลย)
อิ่มเอมกับการทำบุญ สำรวจตลาด และชมเจดีย์พุทธคยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็เลี้ยวรถกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์เพื่อรอไปทัวร์กับแพ็คเก็จที่ซื้อไว้ เริ่ม start ตอน 9 โมงเช้า และไปจบที่ประมาณบ่าย 2 โมงค่ะ โปรแกรมคร่าวๆ เราจะไปล่องเรือชมสะพานมอญ – วัดจมน้ำ ต่อด้วยนั่งช้างเที่ยวชมป่าเขา ลำเนาไพร และสายน้ำที่แสนจะใส ไหลเย็น แล้วก็ปิดท้ายด้วยการล่องแพ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส้มชอบที่สุดในโปรแกรมเลยละค่ะ งั้นเราไปเที่ยวกันเลยดีกว่าเนอะ Go!!!
เริ่มจากล่องเรือไปชมสะพานมอญกันก่อนจ้า
ลักษณะเรือแบบที่เรานั่ง แต่ต่างกันตรงไม่มีหลังคา 555+
ใกล้เข้ามาแล้วสะพานมอญ
เห็นเจดีย์พุทธคยาในอีกมุมมอง
แล้วเราก็ขึ้นฝั่งมาชมวัดจมน้ำ (ตอนเราไปน้ำลดแล้วค่ะ)
เข้าไปชมด้านในโบสถ์กันดีกว่าค่ะ
หลังจากที่ได้กดชัตเตอร์รัวที่วัดจมน้ำและสะพานมอญไปแล้ว ทัวร์จะพาเรานั่งรถสองแถวเพื่อจะมุ่งหน้าเข้ามาในป่าและพานั่งช้างชมธรรมชาติต่อ ตอนที่เรานั่งรถก็ได้คุยได้รู้จักกับพี่ๆ น้องๆ อีกหลายคนที่อยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน แถมคอเดียวกันซะด้วย เลยคุยกันเพลินเลยค่ะ นี่แหละค่ะอีกหนึ่งเสน่ห์ของการท่องเทียว ว่ามั้ยค่ะ?? นั่งรถมาค่อนข้างไกลและนาน (ขอย้ำว่านานมาก) พี่บางคนพูดขำๆ ว่าเค้าจะเอาเราไปขายฝั่งพม่ารึเปล่าเนี๊ยะ แต่แล้วรถจอดตรงจุดปางช้างพอดิบพอดี แล้วควานช้างก็พาน้องช้างค่อยๆ เดินข้ามน้ำมาหาพวกเรา และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง ขึ้นมาบนหลังช้างด้วยกันเลยค่ะ เราจะออกไปลุยป่ากันแล้วจ้า
ทุกคน (รวมทั้งส้มด้วย) มีความสุขแบบสุดๆ ไปเลยค่ะ
เดินตามกันเป็นขบวนเลยจ้า
ธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบนี้คงเหลือน้อยลงไปทุกที ช่วยกันอนุรักษ์ด้วยนะค่ะ
น้องช้างผู้น่ารักพาลูกทัวร์ทุกคนถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพค่ะ ตอนนั่งอยู่บนหลังช้างก็รู้สึกสนุก มีความสุขดีนะค่ะ แต่ก็แอบคิดว่าช้างจะเหนื่อยมั้ย หนักมั้ย ก็ระยะทางมันไกลมากแถมทางก็ลำบากอีกตังหาก (ขอโทษนะจ๊ะน้องช้าง) เมื่อลงจากช้างทั้งไทย ทั้งฝรั่งก็ดูจะประทับใจมาก ดูได้จากแววตาและรอยยิ้มค่ะ
ฝรั่งคนนี้ท่าทางจะหลงรักช้างไทยของเราเข้าแล้วล่ะค่ะ
ส่วนส้ม..กลัวๆ กล้าๆ แต่ก็อยากถ่ายคู่เค้าซะหน่อย
ตอนนี้เที่ยงพอดี ทีมงานเอาข้าวผัดและน้ำมาให้กินกันค่ะ
เพิ่งรู้ว่าหิวมากก็ตอนข้าวเข้าปากนี่แหละค่ะ ส้มงี้ซัดใหญ่เลย ไม่สนใจแล้วอร่อยไม่อร่อยไม่รู้ รู้แต่ว่า “หิวมั่ก” หลังจากกินข้าวแล้ว ทีมงาน (ส่วนใหญ่น่าจะไม่ใช่คนไทยมั้งค่ะ ได้ยินจากที่เค้าคุยกันน่ะค่ะ) ก็ให้เราได้ผ่อนคลายซักพัก ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ เราต้องเดินป่าและข้ามแม่น้ำไปอีกหน่อย เพื่อไปล่องแพกันค่ะ แล้วโชคก็ไม่ค่อยเข้าข้างส้มเท่าไหร่ รองเท้าเจ้ากรรมอยู่ๆ ก็ขาดซะงั้น (ไอ้ตอนไม่ได้เดินนะไม่รู้จักขาด เซ็ง!!) และเดินเท้าเปล่ามันซะเลยค่ะ ดีนะที่ทางมันไม่ไกลมาก เฮ้อ!! ชีวิต T_T แต่สู้ค่ะ เรื่องเที่ยวเรื่องใหญ่ เรื่องรองเท้าขาดเรื่องเล็ก 555
และแล้วเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นการล่องแพกันค่ะ แพทำจากไม้ไผ่ค่ะ ส้มว่าก็ดูแข็งแรงอยู่นะ แพนึงเล่นได้ประมาณ 3 คน ท้ายลำจะเป็นคนที่เค้าชำนาญคอยช่วยเราบังคับแพค่ะ ส่วนสัมภาระ เช่น กล้อง กระเป๋า ไม่ต้องห่วงว่าจะเปียกน้ำ เพราะเค้ามีอุปกรณ์เสริมให้เราเก็บของค่ะ เมื่อคนพร้อม อุปกรณ์พร้อม เราก็ลุยจ้า
น้ำไหลไม่ค่อยแรงมากค่ะ มีแค่บางช่วงที่อาจจะเชี่ยว แต่ก็สนุกมากค่ะ
ส้มชอบกิจกรรมนี้ที่สุดค่ะ สนุกมากๆ
ฝรั่ง 2 คนแอบหัวทิ่ม เกือบไปแล้ว!!
จากที่ได้สัมผัส “สังขละบุรี” ถึงแม้จะแค่ 2 วัน 1 คืน แต่ก็ทำให้ส้มได้พิสุจน์แล้วล่ะค่ะว่า เมืองนี้ช่างมีเสน่ห์มากมายเหลือเกิน ทั้งผู้คน วัฒนธรรม และธรรมชาติที่แสนจะสวยงาม ไม่เสียเที่ยวค่ะที่ตัดสินใจมาไกลถึงที่นี่ บอกได้คำเดียวค่ะว่า “หลงรักสังขละเข้าอย่างจังแล้ว”
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand