เดินเพลินๆ ที่หัวหิน (Past 1)
วันนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้ (4.30 น.) หรือจะเรียกว่าไม่ได้นอนเลยดีกว่าค่ะ เพราะตื่นเต้นกับภารกิจการท่องเที่ยวในวันหยุดจักรีนี้ ส้มกับน้องๆ ที่ทำงานมีนัดไปเที่ยวหัวหินกันค่ะ เมืองเล็กๆ ที่มีมนต์เสน่ห์แห่งนี้ ที่ได้ยินแค่ชื่อ ก็จินตนาไปถึงความสุขที่รอเราอยู่ข้างหน้าในไม่กี่ชั่วโมงนี้
เช้านี้เราเริ่มต้นด้วยการนัดหมายกันที่อนุสาวรีย์ในเวลา 06.00 น. โดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด 11 คน ต่างคนก็หอบแอ็คเซสเซอรี่ที่เหมาะสมกับบรรยากาศทะเล้ ทะเล ไม่ว่าจะหมวก แว่นตา โดดเฉพาะชุดที่เลือกสรรกันอย่างชนิดที่เรียกว่า พยายามกันสุดชีวิตที่จะใส่ให้เข้ากับสถานที่ (ทุ่มทุนสร้างกันจริงๆ)
พวกเราเดินทางกันโดยรถตู้ ของบริษัท เอ.แอล เซอร์วิส จำกัด (ชื่อไม่ชัวร์มาก แต่ที่แน่ๆ คือมีคำว่าเอ แอลอ่ะค่ะ อิอิ) ซึ่งมีพี่โชเฟอร์บริการดีเลิศ ชื่อพี่รุ่งเพชร (ฟังครั้งแรกคิดว่าพระเอกลิเกมาเองซะแล้ว) เหมา 3,000 บาท/วันค่ะ (รวมทุกอย่าง) แล้วพี่เค้ายังคิดโปรเเกรมเที่ยวให้เรา (ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี) , คอยเป็นไกด์จำเป็น และที่สำคัญสุภาพกับลูกค้ามาก ใครอยากไปเที่ยวเพชรบุรี หัวหินติดต่อได้ที่ คุณนัท 085-087-4749 ได้เลยค่ะ (อ่อ! รถตู้นี่ไม่มีเครื่องเสียงนะค่ะ เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งเค้ามักชอบอยู่เงียบๆ ชิลๆ มากกว่า)
สถานที่แรกที่เราทั้ง 11 คนจะมุ่งหน้าไปคือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ซึ่งอยู่ในจังหวัดเพชรบุรีนั่นเอง (พวกเราวางโปรแกรมเที่ยวให้ไปตามเส้นทาง จะได้ไม่ต้องวกไปวนมา)
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี เป็นพระราชวังสร้างในสมัยร.6 ที่ ต.ห้วยทรายเหนือ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยเป็นพระตำหนักประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพอพระราชหฤทัยที่สถานที่ที่ตำบลบางควาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งให้กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการก่อสร้างพระราชนิเวศน์ใหญ่ใน พ.ศ. 2466 โดยที่เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างและพระองค์ได้ทรงร่างแผนผังการก่อสร้างพระราชนิเวศน์ด้วยพระองค์เอง โดยพระองค์ได้ทรงเพิ่มพระตำหนักฝ่ายใน ทรงเลือกแบบพระราชนิเวศน์เป็นอาคารแบบไม้ชั้นเดียว หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องสี่เหลี่ยม ใต้ถุนสูง เทพื้นคอนกรีตตลอด โดยที่พระตำหนักต่างๆ ได้แบ่งกระจายกันอยู่เป็นหลังๆ มีรูปทรงแบบเดียวกันหมด แต่ทุกหลังจะมีระเบียงและบันได ส่วนทางเดินจะมีลูกกรงและหลังคาเชื่อมติดต่อถึงกันตลอดเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเดินติดต่อกันระหว่างพระตำหนักต่างๆ ได้จัดวางห้องบรรทมอยู่กลางติดกับห้องแต่งพระองค์ มีห้องเสวยด้านหลัง มีสะพานทอดออกไปทางด้านขวามือเป็นส่วนของฝ่ายใน ด้านหน้ามีสะพานทอดยาวไปเป็นห้องทรงพระอักษรใกล้ชายหาด (ขอบคุณที่มา http://th.wikipedia.org )
ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ ราคาท่านละ 30 บาท (ราคาอื่นจำไม่ได้ 55) แล้วสำหรับผู้ที่จะเดินทางมาที่นี่ต้องระมัดระวังเรื่องการแต่งกายกันด้วยนะ สำหรับผู้ที่ใส่เสื้อแขนกุด หรือกางเกง กระโปรงที่สั้นเหนือเข่าจะต้องใส่ผ้าถุงและผ้าคลุมไหล่ด้วย (พวกเราเล่นแต่งตัวเต็มสตรีมการเที่ยวทะเล เลยต้องมาใส่ออฟชั่นเสร็จนี่แหละค่ะ) อ่อ! แล้วเดี๋ยวนี้ที่นี่เค้าเข้มงวดมากขึ้นเรื่องการถ่ายภาพ สำหรับใครที่นำกล้องตัวใหญ่ DSLR มาใช้ถ่ายรูป ก็ต้องขึ้นทะเบียนกล้องด้วยนะค่ะ แล้วก็ห้ามใช้กล้องตัวใหญ่ถ่ายภาพชั้นบนของพระราชนิเวศน์แห่งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาก่อนที่จะมีกฏเกณฑ์เช่นปัจจุบันนี้ ได้มีการมาถ่ายภาพเพื่อใช้ในทางธุรกิจโดยไม่มีการขออนุญาตจากทางสถานที่ก่อน อาจส่งผลกระทบภายหลังจึงต้องมีกฎนี้ค่ะ
อย่างแรกที่ทุกคนสัมผัสได้จากการไปเที่ยวที่นี่คือ ความสงบ ร่มรื่น แวดล้อมไปด้วยเหล่าต้นไม้นานาพันธุ์ ความเขียวขจีของต้นไม้น้อยใหญ่เหล่านี้ สร้างความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายให้กับคนที่เหนื่อยล้าจากงานมาตลอดสัปดาห์อย่างเราได้เลยค่ะ อีกอย่างพระราชนิเวศน์ติดกับทะเล ทุกๆ คนไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของพระราชนิเวศน์จะได้สัมผัสลมทะเล ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ถึงแม้ช่วงที่เราไปจะเป็นหน้าร้อน (มาก) แต่พวกเราก็สู้ค่ะ
การเดินเที่ยวที่นี่ เรียกทั้งเสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน และเรียกเหงื่อได้พอสมควรจากการเดินเล่น ถ่ายรูป เลยขอเพิ่มพลังด้วยการหาของอร่อยลงกระเพาะกันก่อนดีกว่า ทั้งกลุ่มพร้อมใจเป็นเสียงเดียวกันว่า มาทะเลทั้งทีขอกินอาหารทะเลให้สมใจหน่อยนะ แล้วก็ได้ร้านนี้ค่ะ “เจ้เขียว ซีฟู๊ด” อยู่แถวเขาตะเกียบค่ะ เห็นพี่คนขับรถกับน้องจุ๋มจิ๋มที่พกหนังสือ อสท. มาบอกว่าร้านนี้ขึ้นชื่อ แต่สำหรับส้มพอได้ลิ้มรสแล้วคิดว่ารสชาติไม่ถึงเครื่องเท่าไหร่ อาหารที่ออกมาถึงจะเพิ่งทำเสร็จแต่ก็ไม่ค่อยร้อน และที่สำคัญรออาหารนานไปหน่อย (อย่างสุดท้ายรอนานมากถึงขนาดกินข้าวและกับทุกอย่างหมดแล้วยังไม่มา เฮ้อ)
ไปดูหน้าตาอาหารกันก่อนเลยค่ะ เราสั่งไม่เยอะมาก เพราะกะจะเอาไว้มื้อเย็นด้วย อาหารราคาก็ไม่แพงมากเท่าไหร่ค่ะ รับได้ๆ ไปดูอาหารกันดีกว่า
ไหนๆ ก็กินข้าวแถวเขาตะเกียบแล้ว พี่รุ่งเพชรคนขับรถที่แสนใจดีเลยแนะนำให้เราขึ้นไปไหว้พระบนเขาต่อด้วย และก็ไม่มีคำว่าปฏิเสธจากพวกเราอยู่แล้วค่ะ ทางขึ้นเขาค่อนข้างแคบ (สำหรับส้ม) ระหว่างทางเรามองเห็นน้ำทะเลใสๆ ด้านล่างได้ชัดเจนเลยล่ะค่ะ พอมาถึงด้านบนด้วยความร้อน ความอิ่ม และความขี้เกียจ (นิสัยไม่ดีเลย) ทำให้พวกเราทำได้เพียงแค่ยกมือไหว้พระจากด้านล่าง เพราะที่ประดิษฐานพระพุทธรูปต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกยาว เอาเป็นว่าใจหนูถึงท่านแน่นอนค่ะ (อิอิ)
แต่ถ้าเดินมาด้านล่างจะมีเจ้าแม่กวนอิมให้เราได้สักการะ พวกเราเลยเลือกที่จะเดินไปด้านล่างมากกว่า อย่างแรกที่เห็นคือฝูงลิง ทั้งตัวเบิ้มๆ และเพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน นอน วิ่ง กินเรียงรายกันเต็มไปหมดเลยค่ะ หลังจากเราใช้วิธีไหว้แบบเดิมๆ (อีกครั้ง) เราก็ได้ฤกษ์ถ่ายรูปต่อ 555
ยังเหลือที่ๆ เรายังไม่ไปอีก 2 ที่ คือ เพลินวาน กับวัดห้วยมงคล (หลวงพ่อทวด) ยังไงไว้ส้มจะรีบนำมาอัพเดทให้เพื่อนๆ ได้ติดตามนะค่ะ ยังไงอย่าลืมมาแวะนะจ๊ะ ตอนที่ 1 ขอจบแค่นี้ก่อนแล้วกันจ้าาาา
ฝากติดตามเพจด้วยนะคะ www.facebook.com/ISomThailand